“กองหุ้นสหรัฐ” พ่าย ‘ดอกเบี้ยขาขึ้น’ แดงยกแผง-นักลงทุนเสี่ยง “ติดดอย”…
อานิสงส์กลยุทธ์ “Long/Short” ทำ “K-ART” ติดลบน้อยสุด -0.19% !!!

.
Fun of Funds: แน่นอนว่าหากพูดถึงตลาดหุ้นที่มีการปรับตัวลดลงมากที่สุดในปีนี้ ต้องมี “หุ้นสหรัฐฯ” เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ดิ่งแรงอันดับต้นๆ ของโลกในปีนี้แน่นอน เพราะเป็นศูนย์กลาง “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ที่จะสยบ “เงินเฟ้อ” ที่อาจจะตามมาด้วยความเสี่ยงของ “เศรษฐกิจถดถอย” (Recession) ในอนาคต
.
ฉุดผลตอบทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 23 ก.ย. 22) ของดัชนี ‘S&P500’ ติดลบไป -22.51% ในขณะที่ ‘Nasdaq’ ตัวแทนกลุ่มเทคโนโลยีติดลบไป -30.69%
.
เขย่าผลงานกลุ่ม “กองหุ้นสหรัฐ” ในปีนี้ แดงเดือดเลือดสาดทั้งกระดาน ติดลบกันไปตั้งแต่ -55.87% ถึง -0.19% มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่นโยบายของแต่ละกองทุนเป็นสำคัญ
.
ส่วนใครที่ไม่ได้ตามความเคลื่อนไหวของกองทุนรวมก็อาจจะเกิดความสงสัยและคำถามขึ้นว่า...ผลงาน “กองหุ้นสหรัฐ” จะถึง “จุดต่ำสุด” ไปแล้วหรือยัง? หรือยังจะ “ดำดิ่ง” ได้อีก? ใช่จังหวะเข้าลงทุนแล้วหรือไม่?
.
ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินงาน “กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ” ที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมตลาดทุนไทยมานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและผู้ที่สนใจ
.
“S&P500” ต้านไม่ไหว ‘แดงยกแผง’ มีเพียงกลุ่ม Energy ยืนเขียว...กลุ่ม “Defensive” ลบน้อย-ส่วน “Growth” ดิ่งหนักสุด
.
ด้วยปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่กระทบต่อ “หุ้นสหรัฐ” ที่ยังถาโถมมาอย่างไม่จบไม่สิ้น ความกังวลของนักลงทุนก็ยิ่งทวีความรุนแรง โดยนักลงทุนสถาบันหลายแห่งก็ออกมาเตือนให้ “ระวัง” เพราะตลาดยัง “ลงได้อีก”
.
แต่บางค่ายก็มองเป็น “จังหวะลงทุน” เช่นเดียวกัน แต้ให้เลือกเฟ้นหุ้นในกลุ่ม “Defensive” หรือ “หุ้นปันผล” ที่ทนทานในทุกภาวะตลาดเพื่อหวังผลระยะยาวไป
.
มองไปในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 23 ก.ย. 22) มีเพียงกลุ่ม Energy เท่านั้นที่บวกเขียวได้ +15.59% ที่เหลือแดงหมด แต่กลุ่มที่ “แดงน้อยหน่อย” ได้แก่ Utilities -4.17%, Consumer Defensive -12.55% และ Healthcare -19.5%
.
ส่วนกลุ่มที่ “ติดลบหนัก” เป็นกลุ่ม Communication Services -36.79%, Technology -34.32%, Consumer Cyclical -31.65% และ Real Estate -30.52%
.
“เมื่อดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงย่อมทำให้ผลตอบแทนและผลการดำเนินงานของกองทุนปรับตามไปด้วยเช่นกัน นักลงทุนหลายคนเองก็อาจจะเริ่มเห็นสัญญาณดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงปลายปี64 และต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นปีมาถึงปัจจุบัน และตลาดยังน่าจะผันผวนต่อเนื่องจากสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้นของ ‘ธนาคารกลางสหรัฐ’ (FED) ที่ยังคงต่อเนื่องจนกว่าจะดึงเงินเฟ้อลงมาสู่เป้าหมายได้นั่นเอง”
.
Top3 “กองหุ้นสหรัฐ” ก็ ‘ติดลบ’ เช่นกันตั้งแต่ -0.19% ถึง -13.29%...“K-ART” แชมป์กลุ่มผลตอบแทนดีสุดติดลบเล็กน้อย -0.19%
.
โดยกองทุนรวมที่เราจะหยิบขึ้นในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมที่มีให้คัดเลือกกว่า 88 กองทุน แต่จะมีกองทุนที่สามารถทำผลงานได้ “ดี” และ “แย่” กว่าอุตสาหกรรม
.
เริ่มกันกองทุนรวม 3 อันดับแรกที่ทำผลงานได้ “โดดเด่นที่สุด” อย่าง “กองทุนเปิดเค อิควิตี้แอบโซลูทรีเทิร์น ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย” หรือ “K-ART” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน -0.19% โดย
.
จะลงทุนในหน่วยลงทุน ‘BSF Americas Diversified Equity Absolute Return Fund, Class I2 USD’ เป็นกองทุนหลัก
.
“ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายมุ่งสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวก โดยไม่คำนึงถึงสภาวะตลาดจากการลงทุนอย่างน้อย 70% ผ่านตราสารทุนหรือตราสารที่อ้างอิงกับตราสารทุนของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นหรือจดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และละตินอเมริกา ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่หาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการซื้อและขาย (Long / Short) หุ้นที่มีราคาแตกต่างจากมูลค่าที่แท้จริง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้พอร์ตการลงทุนไม่มีความเสี่ยงด้านตลาดของหุ้นที่กองทุนหลักลงทุน”
.
ถัดมาเป็น “กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ อันเฮดจ์” หรือ “TUSEQ-UH” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี -12.00% ที่จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ‘SPDR S&P 500 ETF’ เป็นกองทุนหลัก ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุน (ก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมด) ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500
.
และสุดท้าย “กองทุนเปิดทหารไทยยูเอสออพพอร์ทูนิตี้ส์” หรือ “TMBUSO” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี –13.29% ที่จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ‘BNP PARIBAS FUNDS US VALUE MULTI-FACTOR EQUITY’ เป็นกองทุนหลัก และด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัด จึงทำให้ผลการดำเนินงานโดดเด่นได้ไม่แพ้กองทุนอื่น
.
Bottom3 “กองหุ้นสหรัฐ” เน้น ‘หุ้นเติบโต’ ตั้งแต่ต้นปีผลงานติดลบทะลุ -50%...“SCBINNO(A)” ร่วงหนักสุด -55.87%
.
ในฝั่งของกองทุนที่ทำผลการดำเนินงานได้ “แย่ที่สุด” ในกลุ่มทางเราก็ได้หยิบยกขึ้นมา 3 อันดับด้วยกันเริ่มที่กองที่ติดลบหนักสุดกลุ่มอย่าง “กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Innovation (ชนิดสะสมมูลค่า)” หรือ “SCBINNO(A)” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันติดลบไป -55.87% ที่จะลงทุนในกองทุน ‘ARK Innovation ETF’ (ARKK) เป็นกองทุนหลัก
.
“ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัททั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ที่มีการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวช้องกับหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อาทิ พันธุวิศวกรรม, นวัตกรรมการ
.
เปลี่ยนแปลงระบบอัตโนมัติ, นวัตกรรมการปรับเปลี่ยนพลังงาน, ปัญญาประดิษฐ์, นวัตกรรมเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตแห่งอนาคต และนวัตกรรมด้านการเงิน”
.
อันดับถัดมาเป็น “กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส แอคทีฟ (ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล)” หรือ “SCBUSAP” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี -53.64% ที่จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ‘Morgan Stanley Investment Funds - US Growth Fund’ เป็นกองทุนหลัก ด้วยนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ และอาจมีการลงทุนเสริมในหลักทรัพย์นอกประเทศสหรัฐอเมริกา
.
สุดท้าย “กองทุนเปิดกรุงศรียูเอสอิควิตี้-สะสมมูลค่า” หรือ “KFUS-A” ทำผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี -50.14% ที่จะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ‘Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund’ เป็นกองทุนหลัก ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีรายได้ หรือสินทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ
.
“อย่างที่เราเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่านี้เป็นเพียงส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรม ‘กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ’ ซึ่งยังมีกองทุนอื่นๆ ที่อาจทำได้ ‘ดีกว่า’ หรือ ‘แย่กว่า’ ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและนโยบายการบริหารจัดการของกองทุนในเวลานั้นๆ”
.
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน