KBANK เมื่อการตั้งสำรองผ่านจุดสูงสุด
และได้แรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยที่เติบโต

.
KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในหุ้นขวัญใจนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันในประเทศ รวมไปถึงนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะเห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมา KBANK มีมูลค่าการซื้อขายติดอันดับต้นๆในหุ้นกลุ่ม Most Active Value มาโดยตลอด หรือเรียกได้ว่าเป็นหุ้นหัวหน้าห้องของตลาดหุ้นไทยเลยก็ว่าได้
.
โดยในช่วงสัปดาห์วิกฤตของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับปัญหาธนาคารพาณิชย์ของกลุ่มประเทศชั้นนำอย่างสหรัฐ และยุโรป ถูกสั่งปิดดำเนินการ หรือมีความกังวลเรื่องปัญหาของสภาพคล่องภายใน และเกิด Bank Run ซึ่ง KBANK ก็ถือเป็นอีกหุ้นในกลุ่มธนาคารของตลาดหุ้นไทย ที่ได้รับความกระทบในด้านของ Sentiment การลงทุนไปด้วย
.
แต่อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายแห่งของไทยออกมาระบุ และยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับธนาคารต่างๆในสหรัฐ และยุโรปเองนั้น จะไม่ลามมากระทบต่อธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทยอย่างแน่นอน
.
ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่แนะนำว่า คงน้ำหนักลงทุนหุ้นธนาคาร “มากกว่าตลาด” และมองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงตาม Sentiment ลบของธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรปเป็นจังหวะซื้อสะสมที่ดี เนื่องจากคาดผลกระทบต่อธนาคารไทยค่อนข้างจำกัด และมีแรงหนุนจากผลดำเนินงานในไตรมาส 1/66 ที่ฟื้นตัว
.
ดังนั้นในครั้งนี้ Wealthy Thai จะพานักลงทุนไปสำรวจความน่าสนใจ และโอกาสผลการดำเนินงานของหุ้น KBANK ที่มีแนวโน้มการเติบโตได้จากหลายปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังเติบโตขึ้น ที่มีส่วนช่วยผลักดันยอดสินเชื่อให้ฟื้นตัวผ่านมุมมองของเหล่านักวิเคราะห์ที่แนะนำการลงทุนหุ้น KBANK เป็นต้น
.
เริ่มกันที่ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้สรุปประเด็นน่าสนใจที่ได้รับฟังจากผู้บริหาร KBANK ว่า ผู้บริหารตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อที่ 5-7% จากปีก่อน เพิ่มขึ้นจาก 3.3%จากปีก่อน ในปี 2565 หลักๆ มาจากสินเชื่อกลุ่มบริษัทใหญ่ (ความเสี่ยงต่ำ) คาดโต 4-6 จากปีก่อน หนุนด้วยแผนลงทุนของภาคเอกชนที่ฟื้นกลับมาตามภาวะเศรษฐกิจ รองลงมาคือสินเชื่อรายย่อย 2-4%จากปีก่อน และสินเชื่อ SME 1-2% เน้นการโตของสินเชื่อ Digital Loan ที่ปล่อยผ่าน KPLUS
.
รวมถึงเป้า Net Interest Margin ที่ 3.3-3.45% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 3.3% แม้มีเรื่องอัตราเงินนาส่ง FIDF และดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น แต่บริษัททยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนปล่อยสินเชื่อลูกค้าที่เป็น High Yield มากขึ้น
.
ขณะที่ Credit Cost คาดที่ 175-200 bps ลดลงจาก 210 bps ในปีก่อน มองการตั้งสำรองผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ปีนี้การตั้งสำรองยังอยู่ในระดับสูงเพราะต้องการปรับคุณภาพของพอร์ตสินทรัพย์
.
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นหลังจบการประชุม โดยเป้าหมายทางการเงินยังสอดคล้องกับประมาณการของฝ่ายวิจัย จึงมองผลดำเนินงานของ KBANK ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 66 หนุนด้วยการตั้งสำรองที่คาดจะผ่อนคลายลงต่อเนื่อง สอดรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่โตตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทได้ตั้งสำรองจำนวนมากไปแล้วในไตรมาส 4/65
.
นอกจากนี้ในปี 65 KBANK เป็นธนาคารที่มีการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยโดดเด่น จากทั้งการขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในหลายผลิตภัณฑ์ หากการตั้งสำรองปรับลดลงจะทำให้เห็นภาพการเติบโตของผลดำเนินงานที่สดใสมากขึ้น จึงคาด KBANK จะมีกำไรสุทธิในปี 66 จำนวน 48,187 ล้านบาท โต 34.7%
.
ทั้งนี้มองผลดำเนินงานของ KBANK จะฟื้นตัวขึ้นเด่นในไตรมาส 1/66 จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/65 และจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลาดับ ขณะที่ราคาหุ้นถูกกดดันจากผลดำเนินงานไตรมาส 4/65 ที่ต่ำกว่าคาดจนกลับมามีอัพไซด์