จับจังหวะ 3 หุ้นเด่น เข้าโซน “น่าสะสม”
เมื่อค่าการกลั่นพุ่งเกิน 36%

.
ราคาหุ้นปิโตรเคมีและโรงกลั่นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมาการปรับตัวลดลงหรือปรับฐานลงมาอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้นักลงทุนที่สนใจได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่าเป็นราคาหุ้นในปัจจุบันเป็นจุดที่น่าสนหรือจังหวะให้เข้าลงทุนได้หรือไม่ ในวันนี้ทาง Wealthy Thai ได้รวบรวมมุมมองจากนักวิเคราะห์มาแบ่งปันกันในครั้งนี้
.
โดยบทวิเคราะห์ของบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้มุมมองว่า ราคาน้ำดิบปรับตัวขึ้น 5% แตะระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์และ WTI สามารถยืนเหนือ 70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลได้อีกครั้ง รับข่าวอิรักหยุดการส่งออกน้ำมันดิบจากภูมิภาค Kurditan คาดจะกระทบอุปทานน้ำมัน 4.5 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 0.5% ของปริมาณน้ำมันโลกต่อวัน
.
รวมถึงไปได้ปัจจัยหนุนจากดอลลาร์อ่อนค่า, ความคืบหน้าเกี่ยวกับวิกฤตธนาคารคลายตัว โดยธนาคาร First Citizen สามารถปิดดีลเข้าซื้อธนาคาร SVB และภาครัฐพร้อมมีนโยบายช่วยเหลือธนาคารเพิ่มเติม ซึ่งช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการขยายวงของผลกระทบ, และความเสี่ยงด้าน Geopolitical risk สูงขึ้น หลังรัสเซียเตรียมตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในเบลารุส
.
สำหรับการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ มองว่าเป็นบวกต่อหุ้นที่อิงกับน้ำมันดิบ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันต้นน้ำและกลุ่มโรงกลั่น (ค่าการกลั่นสูงสุดรอบ 1.5 เดือนจากอุปสงค์แข็งแกร่งในจีน ท่ามกลางปัญหาอุปทานจากการประท้วงของภาคแรงงานในฝรั่งเศส) จึงให้คำแนะนำเก็งกำไรระยะสั้น PTTEP,TOP ,PTTGC ,SPRC ,BCP และPTT
.
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบล.กรุงศรี พัฒนสิน ให้มุมมองว่า หุ้นกลุ่มโรงกลั่นราคาหุ้นอยู่ในโซนน่าลงทุนอีกครั้งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน โดยหุ้นหลักในกลุ่ม TOP, PTTGC,BCP ปรับฐานมากถึง 11.6%, 4.0% และ 5.3% และมูลค่าหุ้นที่ราคาตลาดต่อหุ้น (P/BV) ต่ำกว่า 1 เท่า ด้วยแรงหนุนค่าการกลั่นโดยเฉลี่ยงวดไตรมาส 1/66 ที่ปรับตัวขึ้น 9.42% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและปรับตัวขึ้น 36.3% จากไตรมาสก่อนหน้า
.
ขณะเดียวกันยังมีโอกาสเห็นข่าวเซอร์ไพรส์เชิงบวก อย่างกำไรจากสต๊อกน้ำมันเล็กน้อย หลังราคาน้ำมันเฉลี่ยเดือน มีนาคม 2566 ยังสูงกว่าปลายงวดปี 2565 ระยะสั้นจึงแนะนำ TOP ราคาเป้าหมายที่ 80, PTTGC ราคาเป้าหมายที่ 66 บาท และ BCP ราคาเป้าหมายที่ 52.5 บาท
.
สำหรับมุมมองหุ้นรายตัว TOP บทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 66 บาท เนื่องจากราคาหุ้นจะตอบรับเชิงบวกจากทิศทางงบไตรมาส 1/66 ที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับขึ้นของ สเปรดน้ำมันสำเร็จรูปหลังความต้องการใช้ได้รับอานิสงส์จากจีนเปิดประเทศ, ไม่มีแผนซ่อมบำรุงโรงกลั่นหลายแห่ง, และมาตรการตอบโต้รัสเซียของยุโรปทั้งการห้ามนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปและกำหนดเพดานราคาน้ำมัน
.
ด้านภาพรวมกำไรสุทธิปี 2566 จะอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 59% เนื่องจากในปีก่อนค่าการกลั่นสูงผิดปกติและไม่มีกำไรพิเศษจากการจำหน่ายหุ้น GPSC 1.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ กำไร 1.3 หมื่นล้านบาทถือเป็นระดับดีเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตสูงสุดในรอบ 5 ปี (ไม่รวมปี 2565)
.
ส่วน PTTGC บทวิเคราะห์ของบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 59 บาท โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 1/66 จะทยอยฟื้นตัวขึ้น จากอัตราการกลั่นกลับมาเป็นปกติ ขณะที่สเปรดของอะโรมาติกส์และราคาพอลิเมอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจีนเปิดประเทศ, ปริมาณขายของ Allnex ฟื้นตัวตามฤดูกาลและขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลง แต่อย่างไรก็ดีจะเห็นการเติบโตของกำไรสุทธิที่ชัดเจนช่วงครึ่งปีหลังปี 66 และทั้งปี 66 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิที่ 1.8 หมื่นล้านบาท
.
สุดท้าย BCP บทวิเคราะห์ของบล.กรุงศรี พัฒนสิน ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 52.50 บาท เนื่องจาก กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 66 จะเติบโตได้ดีจากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังขาดทุนสต๊อกลดลง ขณะที่ธุรกิจ NT ปริมาณขายเพิ่มตามแหล่งผลิตใหม่และธุรกิจการตลาดที่ปริมาณขายเพิ่มตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและค่าการตลาดฟื้นตัวจากรัฐบาลผ่อนคลายคุมค่าการตลาดดีเซล
.
นอกจากนี้การเข้าซื้อ ESSO จะมาช่วยการฟื้นตัวของกำไรในไตรมาส 4/66 ขณะที่การเข้าลงทุนแหล่งผลิตเพิ่มของ OKEA จะสร้างอัพไซด์กำไรกลับมาที่ BCP ในปี 2566 และปี 2567 ราว 190 ล้านบาท และ 645 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดีอาจมีดีล เข้าซื้อกิจการอื่นๆที่เข้ามาเพิ่ม