ห้องเม่าปีกเหล็ก

สิ่งที่ 'ทรัมป์' ไม่รู้คือ จีนแยกเศรษฐกิจตัวเองออกจากตะวันตกมานานแล้ว

โดย GREEN WAY
เผยแพร่ :
36 views

สิ่งที่ 'ทรัมป์' ไม่รู้คือ จีนแยกเศรษฐกิจตัวเองออกจากตะวันตกมานานแล้ว...

By สาธิต สูติปัญญา

 

 

  • จีนดำเนินนโยบายพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจมานานกว่าสองทศวรรษเพื่อลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
  • นโยบายนี้ช่วยให้จีนสร้างเกราะป้องกันทางเศรษฐกิจและลดอิทธิพลของชาติตะวันตก
  • จีนได้สร้างจุดแข็งในห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ เช่น แร่หายากและส่วนประกอบยา เพื่อใช้เป็นอำนาจต่อรอง
  • ความพยายามของทรัมป์ในการใช้ภาษีกดดันจึงไม่เป็นผลนัก เพราะจีนได้เริ่มแยกตัวทางเศรษฐกิจมานานแล้ว
  • ปัจจุบันจีนยังคงเดินหน้าส่งเสริมการผลิตขั้นสูงและเทคโนโลยีในประเทศเพื่อพึ่งพาตนเองอย่างสมบูรณ์

 

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา จีน พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจและลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ แม้นโยบายนี้จะสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศคู่ค้าหลายแห่ง แต่ก็ช่วยให้จีนสร้าง "เกราะป้องกัน" ทางเศรษฐกิจจากความขัดแย้งต่างๆ ตามที่ที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาลปักกิ่งกล่าวไว้

ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ พยายามใช้นโยบายภาษีเพื่อลดการพึ่งพาสินค้าจีน และป้องกันไม่ให้สินค้าส่วนเกินจากโรงงานจีนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกัน ความพยายามนี้กลับเจออุปสรรคใหญ่ เพราะจีนได้เริ่ม "ตัดขาด" ทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ มานานแล้ว

ตลอดระยะเวลาสองทศวรรษ จีนดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาตัวเองอย่างเป็นระบบ ผลลัพธ์คือจีนสามารถสร้าง "คอขวด" ทางเศรษฐกิจบางจุดที่ใช้กดดันสหรัฐได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้อเมริกามีเครื่องมือตอบโต้จีนได้น้อยลง

ต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคหู จิ่นเทา

แนวคิดเรื่องการพึ่งพาตัวเองถือเป็นเสาหลักของนโยบายเศรษฐกิจจีน ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในยุคของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นผู้นำประเทศตั้งแต่ปี 2012 แต่ยังสืบเนื่องมาจากยุคของหู จิ่นเทา ผู้นำคนก่อนหน้าด้วย

โครงการแทนที่สินค้านำเข้าด้วยการผลิตในประเทศของจีน แม้จะมีต้นทุนสูงและไม่มีประสิทธิภาพในบางส่วน แต่ก็ทำให้ประเทศตะวันตกสูญเสียอิทธิพลและอำนาจต่อรองเมื่อเกิดข้อพิพาททางเศรษฐกิจหรือการค้ากับจีน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้นำจีนเริ่มพูดถึงเรื่องการพึ่งพาตัวเองอย่างเปิดเผยมากขึ้น ประเด็นนี้ยังกลายเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมประจำปีของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งผู้นำระดับสูงของประเทศได้ร่างแนวทางสำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจห้าปีฉบับใหม่ของจีน

"เราต้องเร่งสร้างความพึ่งพาตัวเองและเพิ่มศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้น" ประธานาธิบดีสีกล่าวในสุนทรพจน์หนึ่งของเขา

 

ใช้อำนาจควบคุม "แร่หายาก" กดดันสหรัฐ

ปีนี้ จีนได้ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งของตัวเอง นั่นคือการควบคุมแหล่งผลิต "แร่หายาก" และ "แม่เหล็กหายาก" ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมไฮเทคทั่วโลกเกือบทั้งหมด

หลังจากสหรัฐ พยายามจำกัดการนำเข้าจากจีนในด้านนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์จึงต้องยอมประนีประนอมกับประธานาธิบดีสีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงใหม่

ข้อตกลงนี้ทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐ ในปีนี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังต่ำกว่าภาษีสำหรับประเทศอย่างอินเดียและบราซิล ซึ่งโดยปกติสหรัฐ จะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นมากกว่า

การที่จีนขู่จะเข้มงวดกับการส่งออกแร่หายากอย่างรุนแรง ยังช่วยโน้มน้าวให้รัฐบาลทรัมป์ยกเลิกนโยบายที่เพิ่งออกมาเมื่อเดือนก.ย. ซึ่งเป็นข้อจำกัดใหม่ในการทำธุรกิจกับบริษัทจีนที่เกี่ยวข้องกับกิจการทางทหาร

ครองตลาดส่วนประกอบยา อุปกรณ์ไฟฟ้า ชิปคอมพิวเตอร์

จีนได้สร้าง "คอขวดทางเศรษฐกิจ" ในหลายด้านจากนโยบายการพึ่งพาการผลิตในประเทศ ตอนนี้จีนกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ผลิตยาปฏิชีวนะและยารักษาโรคอื่นๆ รวมถึงเป็นผู้ผลิตหลักของอุปกรณ์ไฟฟ้า ชิปคอมพิวเตอร์เกรดทั่วไป และสินค้าจำเป็นอีกจำนวนมาก

ผลที่ตามมาคือสหรัฐ มีเครื่องมือตอบโต้ที่เหลืออยู่น้อยลง เมื่อวอชิงตันพยายามกดดันให้ปักกิ่งยกเลิกการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ฝ่ายบริหารของทรัมป์จึงต้องขู่ว่าจะจำกัดการส่งออกสินค้าจำเป็นประเภทสุดท้ายที่จีนยังต้องพึ่งสหรัฐ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องบิน

เจ้าหน้าที่จีนในขณะเดียวกันก็ออกมาเรียกร้องให้ประเทศเดินหน้าเส้นทางการพึ่งพาตัวเองต่อไป "ระบบอุตสาหกรรมที่ครบวงจรจะช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น" เถียน เผยเอี๋ยน ที่ปรึกษานโยบายอาวุโสของประธานาธิบดีสีกล่าว พร้อมเสริมว่าอุตสาหกรรมที่หลากหลายและกว้างขวางจะช่วยสร้าง "ปราการความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" ให้กับประเทศได้

เมื่อจีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลกในช่วงปลายปี 2001 ประเทศยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าหลายประเภท รถยนต์ อุปกรณ์โทรคมนาคม เครื่องจักรผลิตไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ผลิตในจีนขณะนั้นยังด้อยกว่าของนำเข้าทั้งในด้านคุณภาพและเทคโนโลยี ทำให้ทั้งบริษัทและผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงนิยมสินค้าต่างประเทศ

แต่ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ยกระดับคุณภาพและปริมาณของสินค้าภายในประเทศขึ้นอย่างก้าวกระโดด

"ในบรรดาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 500 ประเภท จีนของเราครองอันดับหนึ่งของโลกในกว่า 220 รายการ" จิ่น จ้วงหลง วิศวกรระดับแนวหน้าของประเทศซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวไว้เมื่อปีที่แล้ว

ธนาคารของรัฐจีนก็มีบทบาทสำคัญ โดยได้ปล่อยเงินกู้จำนวนมหาศาลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งช่วยให้จีนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกในสองอุตสาหกรรมนี้

ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำจีนได้มีมติให้เดินหน้าผลักดัน "การผลิตขั้นสูง" ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป โดยเอกสารสรุปของที่ประชุมระบุว่า รัฐบาลและภาคธุรกิจต้อง "เร่งเสริมความแข็งแกร่งด้านการผลิต คุณภาพสินค้า อุตสาหกรรมการบิน ระบบขนส่ง และโลกไซเบอร์ของจีนให้เร็วที่สุด"

จีนใช้จุดแข็งที่สำคัญคือขนาดของภาคการผลิตที่ใหญ่กว่าประเทศใดในโลก ผนวกกับการกำกับดูแลจากรัฐอย่างเข้มข้น ส่งผลให้เหลือเพียงไม่กี่อุตสาหกรรมเท่านั้นที่บริษัทสหรัฐ และยุโรปยังคงเป็นผู้นำ เช่น เครื่องบินพาณิชย์ และชิปเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงบางประเภท

แบรด เซตเซอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) กล่าวว่า

"ประธานาธิบดีสีค่อนข้างเก่งในการหาวิธีลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าสหรัฐ จากห่วงโซ่อุปทานของจีนลงเรื่อยๆ ยกเว้นในส่วนของชิปขั้นสูงที่สุดที่ยังออกแบบโดยบริษัทอเมริกัน แต่ผลิตที่อื่น"

ยังผลิตชิป AI ไม่ได้ แต่หาช่องซื้อลักลอบได้

แม้จีนจะลงทุนอย่างมหาศาลด้านเทคโนโลยีสาธารณะมานานกว่าทศวรรษ แต่ก็ยังไม่สามารถผลิตชิปความเร็วสูงสุดที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอาวุธรุ่นใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทจีนจำนวนมากกลับสามารถหาช่องทางซื้อหรือแม้แต่ลักลอบนำเข้าไมโครชิปของ Nvidia ได้อยู่ดี

นโยบายจีน ที่มุ่งแทนที่สินค้านำเข้าด้วยสินค้าผลิตในประเทศมีอยู่หลายโครงการ ตั้งแต่ "แคมเปญนวัตกรรมภายในประเทศ" (Indigenous Innovation) ที่เริ่มขึ้นหลังจีนเข้าร่วม WTO, โครงการ "Made in China 2025" ที่เปิดตัวในปี 2015 จนถึงนโยบายล่าสุดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ที่เรียกว่า "พลังการผลิตคุณภาพสูง" (high-quality productive forces)

ระบบธนาคารของรัฐยังให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์อย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกในสองตลาดนี้

เก็บภาษีสูง ผลักดันให้คนจีนหันมาใช้ EV

ในบางกรณี จีนบรรลุการพึ่งพาตัวเองผ่านนโยบายกีดกันทางการค้า เช่น ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา รัฐบาลได้เก็บภาษีและค่าธรรมเนียมที่ทำให้ราคาของรถยนต์นำเข้า โดยเฉพาะรถยนต์และ SUV เครื่องใหญ่จากต่างประเทศ สูงขึ้นกว่าสองเท่า

ผลที่เกิดขึ้นคือรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริดกลายเป็นกระแสหลักในประเทศ ปัจจุบันรถสองประเภทนี้ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าครึ่งของตลาดรถยนต์ในจีนแล้ว

การเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นทำให้รถยนต์นำเข้ากลายเป็นของหายากในจีน และยังทำให้ผู้บริโภคชาวจีนไม่คุ้นชินกับรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังแรงสูง ผลลัพธ์คือเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริดเริ่มได้รับความนิยม คนจีนก็ปรับตัวและหันมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันรถสองประเภทนี้คิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ

ตั้งแต่ช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เจ้าหน้าที่สหรัฐ มักมองข้ามความเป็นไปได้ที่จีนจะใช้ "คอขวด" ทางเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นอาวุธในการต่อรอง พวกเขาให้เหตุผลว่าการทำเช่นนั้นจะทำลายความน่าเชื่อถือของจีนในฐานะประเทศที่เหมาะกับการลงทุนจากต่างชาติ และอาจทำให้บรรษัทข้ามชาติย้ายฐานการผลิตออกไปที่อื่น

แน่นอนว่าสิ่งนั้นอาจเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต แต่จนถึงตอนนี้ จีนยังคงเดินหน้าในเส้นทางการพึ่งพาตัวเองอย่างแน่วแน่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนที่แล้ว

ในแถลงการณ์ปิดประชุม พรรคประกาศว่า "เราต้องรักษาและขยายจุดแข็งของเราให้มั่นคง ก้าวข้ามอุปสรรคและข้อจำกัดทั้งหลาย และเสริมสร้างจุดอ่อนของเราให้แข็งแกร่งขึ้น"

ท้ายที่สุด ความมุ่งมั่นของผู้นำจีนในแนวทางนี้ชัดเจนกว่าที่เคย พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ต้องการให้ประเทศผลิตสินค้าได้เองเท่านั้น แต่ยังต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจที่สามารถต้านแรงกดดันจากโลกตะวันตกได้ในระยะยาว

 

อ้างอิง: The New York Times

 

ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/world/1206135

 


GREEN WAY