แบงก์ตั้งการ์ดสูง ตุนเงินสำรอง พร้อมรับมือตัวเลขหนี้เสีย...ที่ยังลวงตา
นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารหรือแบงก์ หนึ่งในตัวเลขสำคัญที่ต้องติดตามและนำมาประกอบการตัดสินใจในหุ้นกลุ่มธนาคาร หรือกลุ่มแบงก์คือ หนี้เสีย หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมทั้งเงินสำรอง ซึ่งตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9 ที่เริ่มใช้ต้นปีนี้ แบงก์ต้องประมาณการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) ตามการจัดสถานะหรือชั้นสินทรัพย์ โดยพิจารณาจากข้อมูลทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
แม้ภาพเศรษฐกิจปีนี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สะท้อนออกมาจากตัวเลขอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP) ที่ไตรมาส 1/2563 หดตัว 1.8% และคาดการณ์ว่าไตรมาส 2/2563 อาจจะหดตัวมากกว่า 10% แต่ในส่วนของคุณภาพสินเชื่ออาจจะยังไม่เห็นชัดเจน เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการพักชำระหนี้ออกมาช่วยลูกหนี้
ดังนั้นตัวเลขหนี้เสียของ 10 หุ้นแบงก์ ที่ออกมาล่าสุด ณ ไตรมาสมาส 2/2563 แม้จะขึ้นมาอยู่ในระดับสูงถึง 500,000 ล้านบาท โดยรวมอยู่ที่ 520,451 ล้านบาทแล้ว แต่การเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยราว 4.8% เท่านั้น จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 496,632 ล้านบาท
แต่...ตัวเลขหนี้เสียที่ออกมานี้อาจจะยังไม่สะท้อนภาพความเป็นจริง เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการพักชำระหนี้ออกมาช่วยลูกหนี้ และอนุโลมให้แบงก์ยังไม่ต้องเปลี่ยนการจัดชั้นลูกหนี้ในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งต้องติดตามว่าหลังจากการพักชำระหนี้จบลง ลูกหนี้ของแต่ละแบงก์จะสามารถกลับมาชำระหนี้ได้มากน้อยเพียงใด โดยจากการประเมินของแบงก์กลุ่มที่ยังมีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ที่ราว 60-70% แต่ยังต้องติดตามส่วนที่เหลืออีก 30-40% ว่าจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ดีในส่วนของแบงก์ก็ได้มีการตั้งสำรองอย่างเข้มงวดและตั้งเพื่อไว้ล่วงหน้ารองรับสถานการณ์ในอนาคต โดยตัวเลขเงินสำรองของ 10 แบงก์ ปัจจุบันอยู่ที่ 739,540 ล้านบาท สัดส่วนเงินสำรอง ต่อ NPL ถือว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 142% โดยช่วงที่เหลือของปีนี้แบงก์ต่างๆ ยังเดินหน้าตั้งสำรองเพิ่มเติม รองรับสถานการณ์หนี้เสียที่จะเกิดขึ้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก