ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทำไมร้าน ‘ไอศกรีมจีน’ แห่มาเปิดที่ประเทศไทย ?

โดย นักเดินทาง
เผยแพร่ :
128 views

ทำไมร้าน ‘ไอศกรีมจีน’ แห่มาเปิดที่ประเทศไทย ?

  • หลายปีที่ผ่านมา “จีน” ตีตลาดไทยอย่างหนัก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาเข้าถึงง่าย-ต่ำกว่าตลาด สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการตัวเล็กๆ รวมถึงผู้บริโภคบางส่วนก็ด้วย
  • “จีน” ไม่ได้เลือก “ไทย” เป็นตัวเลือกแรกๆ ใจจริงอยากไปทุกแห่ง โดยเฉพาะฝั่งอเมริกาที่มีประชากรหลายร้อยล้านคน รวมถึงกำลังซื้อที่สูงกว่าภูมิภาคเรา แต่เพราะไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สะดวกสบายกว่าด้วยหลายปัจจัย
  • นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า วัฒนธรรมการกินของจีนอาจใช้เป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็พบว่า ผู้คนมองเรื่องเหล่านี้แยกขาดออกจากประเด็นทางการเมือง ชอบและอุดหนุนร้านอาหารจีนไม่ได้แปลว่า จะมองข้ามเรื่องอื่นไปได้

แม้ว่าคนจีนจะโล้สำเภาขึ้นฝั่งที่ประเทศไทยตั้งแต่ 100 ปีก่อนหน้า แต่การมาถึงของทุนจีนช่วงทศวรรษ 2020 กลับเข้มข้นกว่าที่เคยปรากฏ ตั้งแต่สินค้าเทคโนโลยีไปจนถึงของกินของใช้ โดยเฉพาะร้านอาหารราคาย่อมเยาที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยกำลังการผลิต ทรัพยากรที่ถึงพร้อม หรือการจัดการซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนำไปสู่ปรากฏการณ์ “ทุบตลาด” ของทุนจีนในไทยที่ยังทยอยตบเท้าเข้ามาเปิดกิจการในไทยเป็นจำนวนมาก

ทำไมจีนต้องออกมาทำธุรกิจนอกประเทศ แล้วที่ผ่านมาจีนอยู่ตรงไหนของโลก? เรื่องนี้ “บุญชัย ลิ่มอติบูลย์” ผู้ร่วมก่อตั้ง “Pundai” ที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดการทำธุรกิจในประเทศจีนมากกว่า 15 ปี บอกว่า เป็นเพราะในจีนไม่สามารถดันภาคธุรกิจโตต่อได้อีกแล้ว โดยเฉพาะแบรนด์ที่ยังไม่เคยลงทุนนอกประเทศ กลุ่มนี้มีการระดมทุนจากนักลงทุนทั้งหมด

แน่นอนว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องการ คือการเติบโตและกำไรอีก 10-20 เท่าตัว ในเมื่อจีนตอบโจทย์ไม่ได้แล้ว จากโดมิโน่กรณี “ANT Financial Group” โดนสกัดกั้น ซัพพลายฝั่งอสังหาริมทรัพย์ล้น เศรษฐกิจในประเทศย่ำแย่ กำลังซื้อหดหาย เงินจากบรรดานักลงทุนที่เคยหมุนเวียนในธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงไหลมาสู่สินค้าอุปโภคบริโภค บิวตี้ และเครื่องประดับ ตลาดต่างประเทศจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในสมการนี้ โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญด้วย

 

 

ใจจริงอยากไปสหรัฐมากที่สุด แต่อาเซียนง่ายโตง่ายเพราะค่าแรงถูก-ใช้ทุนต่ำ

มุมมองของคนในประเทศอย่างเราๆ อาจมองว่า ทำไมจีนจ้องจะบุกแต่ประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “จีน” ไม่ได้มองไทยเป็นตัวเลือกแรกๆ ด้วยซ้ำไป “บุญชัย” บอกว่า โซนที่จีนอยากขยายธุรกิจมากที่สุด คือฝั่งสหรัฐ เพราะจำนวนประชากรที่มีมากถึง “500 ล้านคน” ทว่า ไม่กี่ปีที่ผ่านมาบรรดาบริษัทอาหารและเครื่องดื่มจากจีนกลับทยอยกรีฑาทัพเข้ามายังประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากเป็นพิเศษ

รายงานจากสำนักข่าว “Nikkei Asia” ระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาเหนือ และยุโรป คือโซนที่จีนขยายธุรกิจเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากเหตุผลเรื่องภาวะอิ่มตัวภายในประเทศ โดยสถิติจาก “Huafu Securities” บริษัทหลักทรัพย์ในจีนระบุว่า ปี 2565 มีการจดทะเบียนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในจีนเกือบๆ 3.19 ล้านแห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 24.2%

ขณะที่การจ้างงานและการจ่ายเงินเดือนให้กับบริษัทสัญชาติจีนในต่างประเทศเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 200% แทบทุกปี ซึ่งในปี 2567 ก็พบว่า บริษัทอาหารและเครื่องดื่มจากจีนทยอยเปิดรับสมัครพนักงานสาขาต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

อย่างร้านหม้อไฟ “ไหตี่เลา” (Haidilao) น่าจะเป็นเจ้าแรกๆ ที่ขยายกิจการไปต่างประเทศตั้งแต่ 12 ปีที่แล้ว ส่วนร้านอื่นๆ ที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดและได้รับความสนใจจากต่างชาติก็มี “ไท่เออร์” (Tai Er) โดดเด่นด้วยเมนูต้มปลาผักกาดดอง เจาะตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สหรัฐ รวมถึงไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “มี่เสวี่ย” (Mixue) เครือร้านชานมไข่มุกและซอฟต์เสิร์ฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ปัจจุบันขยายกิจการครอบคลุม 11 ประเทศทั่วโลก มีสาขานอกประเทศมากถึง 4,000 แห่ง 

ดูๆ แล้ว เหมือนว่าแทบทุกแบรนด์จะพุ่งตรงมายังฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันหมด ซึ่งผู้บริหาร “PayInOne” บริษัทจัดจ้างและจ่ายเงินเดือนให้กับบุคลากรชาวจีนในต่างประเทศ บอกว่า เหตุผลที่แบรนด์จีนเลือกภูมิภาคนี้เกิดจากการพิจารณาปัจจัยเรื่องต้นทุนการจ้างพนักงานที่มีราคาต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงการจัดการที่สะดวกสบายกว่า หากธุรกิจที่นี่แข็งแรงในระดับหนึ่งแล้ว จังหวะต่อไปค่อยเป็นการคิดวางแผนไปยังฝั่งยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอเมริกาเหนือ

สำหรับประเทศที่โดดเด่นและได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคไม่ใช่ไทย แต่เป็น “อินโดนีเซีย” ที่มีจำนวนประชากรกว่า 282 ล้านคน ทั้งยังมีรสนิยมเรื่องอาหารการกินคล้ายกับจีนในเรื่องความเผ็ดร้อน เมื่อบวกกับค่าแรงที่ต่ำกว่าจีนหรือภูมิภาคอื่นๆ จึงทำให้เกิด “Break Even Point” หรือจุดคุ้มทุนค่อนข้างไวราวๆ  6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากอิงประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเป็น “พิมพ์เขียว” แบรนด์จีนก็พบปัญหาระหว่างทางไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องห่วงโซ่อุปทานที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ รวมถึงกฎระเบียบเกี่ยวกับธุรกิจอาหารที่มีความแตกต่างจากประเทศแม่โดยสิ้นเชิง 

ชอบกินอาหารจีน ไม่ได้แปลว่า ชอบประเทศจีน

มีข้อสังเกตตามมามากมายหลังแบรนด์จีนบุกไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องของการแผ่ขยายอิทธิพลผ่านซอฟต์พาวเวอร์ด้านวัฒนธรรมการกิน โดยเว็บไซต์ “Think China” อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า นอกจากโปรดักต์ฝั่งเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยม บรรดาร้านอาหารจีน อาทิ “Mixue” “Chagee” และ “Luckin Coffee” ก็ได้รับกระแสตอบไม่น้อยไปกว่ากัน

อย่างในอินโดนีเซียที่แม้ว่ากระแสต่อต้านคนจีนค่อนข้างสูง แต่กลับพบว่า ร้านแฟรนไชส์ “Mixue” เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านแฟรนไชส์ “Mixue” มากที่สุด หรือในประเทศไทยที่มีกระแสต่อต้านทุนจีนก็พบว่า ธุรกิจร้านหมาล่าได้รับความนิยมถึงขีดสุด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ที่เคยมีสถิติจาก “DXT360” ระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า ระยะเวลาเพียง 12 วัน (ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม ถึง 11 กันยายน) มีร้านหมาล่าเปิดใหม่ในเขตกรุงเทพฯ มากถึง 11 ร้าน

นักวิชาการชาวอินโดนีเซียวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า ประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน ราคาที่เข้าถึงง่าย และความสะดวกในการซื้อขายแฟรนไชส์ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ “Mixue” ซื้อใจชาวอินโดนีเซียได้สำเร็จ ทั้งยังมองว่า ภาพลักษณ์เชิงบวกของแบรนด์น่าจะส่งผลดีแบบอ้อมๆ ให้กับจีนได้ด้วย

ด้าน “โจแอน ลิน” (Joanne Lin) นักวิชาการจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษายูซุฟ อิคฮัค (Yusof Ishak) กลับชี้ให้เห็นอีกมุมมองว่า จริงอยู่ที่อิทธิพลจากอาหารและเครื่องดื่มช่วยให้สร้างภาพเชิงบวกให้จีน ทั้งยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ แต่อิทธิพลดังกล่าวคงไม่สามารถยืนระยะได้ยาวนานจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง จะไปตลอดรอดฝั่งได้ต้องรักษาคุณภาพ-สร้างความไว้ใจให้ลูกค้าอยู่กับแบรนด์ไปนานๆ

ขณะเดียวกันก็เชื่อว่า ซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารการกินเป็นประเด็นที่แยกขาดจากความเคลื่อนไหวของจีนในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง “ลิน” เชื่อว่า แม้วัฒนธรรมการกินจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่อาจหักล้างการรับรู้เชิงวิพากษ์ในประเด็นทางการเมืองของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งเรื่องการเมืองแถบทะเลจีนใต้ รวมถึงการช่วงชิงอำนาจกับพญาอินทรีก็ด้วย

อินโดนีเซียชอบ “Mixue” แต่ก็ปั้น “Ai-Cha” เป็นคู่แข่ง

แม้ “Mixue” จะได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะจากประเทศอินโดนีเซียที่มีมากกว่า 1,000 สาขา แต่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็พบว่า มีแบรนด์ซอฟต์เสิร์ฟ-ชานมไข่มุกหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันออกมาทำการตลาด กระทั่งได้รับความนิยมสูสีคู่คี่มาตามๆ กัน เรากำลังพูดถึง “ไอชา” (Ai-Cha) แบรนด์ที่มีเพนกวินใส่ผ้าพันคอแสนน่ารัก ออกมาชักชวนผู้คนให้ไปลิ้มลองไอศกรีมฉ่ำๆ ถัดจากการเข้ามาของ “Mixue” เพียงไม่นาน

“Ai-Cha” ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 ไม่ปรากฏชื่อแน่ชัดว่า ผู้ก่อตั้งเป็นใครมาจากไหน เพราะในเว็บไซต์บริษัทของไอชาระบุเพียง “The Lie Brothers” หรือ “พี่น้องตระกูลลี” หลังจากซุ่มปลุกปั้นแบรนด์มานานก็ได้ฤกษ์เปิดร้านเป็นครั้งแรกในปี 2565 โดยชื่อ “Ai-Cha” มาจากการผสมอักษรจีน เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันแล้วจะได้ความหมายว่า แบ่งปันความรักด้วยการเสิร์ฟชาที่มีคุณภาพ โดยในปีแรก “Ai-Cha” สามารถทยอยเปิดร้านในอินโดนีเซียได้รวดเร็วมากถึง 200 แห่ง

และในปีเดียวกันนั้น “Ai-Cha” สยายปีกเปิดทำการนอกประเทศไปพร้อมกันด้วย โดยหมุดหมายที่แบรนด์เลือก คือประเทศไทย เปิดทำการกว่า 80 แห่ง และหลังจากนั้นก็ทยอยปักธงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว เมียนมา และกัมพูชา

สำหรับประเทศไทย “Ai-Cha” จดทะเบียนภายใต้ “บริษัท ไอ-ชา ฟู้ด ทีจี จำกัด” มี “แสงตะวัน ประดิษฐศร” เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 51% ตามมาด้วย “เหมิง หลี่” และ “ตงเหมย ไต้” ชาวจีนที่ถือหุ้นด้วยสัดส่วน 34.40% และ 14.60% ตามลำดับ

นอกจากร้านไอศกรีมหรือหมวดหมู่ของกินแล้ว รู้หรือไม่ว่า แบรนด์สกินแคร์ที่กำลังได้รับความนิยมในบ้านเราอย่าง “สกินทิฟิค” (Skintific) ก็เป็นของทุนจีนเช่นกัน ว่ากันว่า ยังมีอีกหลายสิบแบรนด์เตรียมตัวบุกไทย ไม่เฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม แต่ครอบคลุมแทบทุกหมวดหมู่สินค้าที่ “พี่จีน” มองว่า ยังมีโอกาสในตลาดให้ตักตวงได้อีกเรื่อยๆ

 

อ้างอิง: Ai-ChabarchartCreden DataNikkei AsiaThe Jakarta PostThink China

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1168848

 


นักเดินทาง