“ดอลลาร์แข็ง” เสี่ยงฉุด ‘ศก.โลกถดถอย’...
หวั่นนักลงทุน ‘เทขาย’ สินทรัพย์-‘หนีความเสี่ยง’ !!!

.
Where2put Ur Money: “ดัชนีเงินดอลลาร์” (Dolla Index) ที่แข็งค่าแตะระดับ 114 คือ สถานการณ์ที่เศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนกำลังกังวลว่า...จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ? ก่อนจะตอบเรื่องนี้ เราจะพบว่าเวลานี้กำลังเกิดภาวะที่ไม่ปกตินัก “อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ” ที่เร่งตัวขึ้นกดดัน “ค่าเงินทั่วโลก” โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชียรวมทั้งไทย เจอกับการอ่อนค่าของเงินเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และกดดันให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่ไม่ได้สอดคล้องกับภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจในบางประเทศ
.
แรงกดดันจาก 'อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่สูง' และ 'การอ่อนของค่าเงิน' มีผลกับตลาดหุ้นมากขึ้นอย่างแน่นอนจากนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามลำดับกับตลาดทั่วโลกและไทยเมื่ออัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นไปยืนที่ระดับ 4.6% คือ
.
“เงินบาทจะอ่อนค่าลงเพราะดอลลาร์ที่แข็งค่ามากขึ้น ตามมาด้วย --> ความเสี่ยงและความกังวลที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐฯ และยุโรปจะมากขึ้น (เวลานี้ตัวเลขของโอกาสที่สหรัฐฯ จะเกิด Recession นั้นอยู่ที่ 50% แต่ยุโรปเพิ่มขึ้นเป็น 70% !) ผลที่ตามมาคือ --> กำลังซื้อจะลดลงทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และนำไปสู่ --> การเทขายสินทรัพย์ของนักลงทุนในตลาด เพื่อหนีความเสี่ยงในที่สุด !!”
.
หากตอบคำถามข้างต้นคือ จะมีผลต่อกลุ่มธุรกิจใดบ้าง..? ทาง “DAOL SEC” ประเมินว่า กลุ่มธุรกิจที่จะกระทบหลักได้แก่
.
1) กลุ่มที่มีสินทรัพย์อ้างอิงกับดอกเบี้ยเงินกู้ หรือ มีความต้องการ (Demand) ชะลอลง ได้แก่ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) กลุ่มปลายน้ำ เช่น ปิโตรเคมี ทองแดง อลูมิเนียม กลุ่มนี้จะกระทบมากหากเกิดภาวะ Recession ส่วนกลุ่มต้นน้ำ อย่าง น้ำมัน ถ่านหิน แก๊ส ยังไม่ได้กระทบมาก เพราะมีปัญหาด้าน Supply ช่วยหนุนราคาไว้ (แต่แนะนำเก็งกำไรสั้นๆ)
.
2) กลุ่มที่ได้ผลกระทบจากการขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยน เช่นกลุ่มโรงไฟ้า, ปิโตรเคมี
.
3) กลุ่มส่งออก แม้เงินบาทจะอ่อนค่าแต่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจส่งออกทั้งหมด หากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอลง กำลังซื้อและการผลิตจะลดลงตามไปด้วย ธุรกิจที่เสี่ยงได้แก่ ยางพารา ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการส่งออก จะเป็นบางกลุ่มเช่น อาหารสัตว์, สินค้าแปรรูป
.
“เราจะเห็นว่าจากในช่วงเดือน ก.ค. อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังถูกคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.25% แต่ในเดือน ก.ย. ล่าสุด เปลี่ยนไป อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นไปถึงระดับ 4.6% ในปีหน้า เป็นการเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ และเป็นปัจจัยที่ตลาดไม่ได้คาดการณ์ไว้ขนาดนี้ เราจึงเห็น ‘ดอลลาร์แข็งค่า’ ขึ้นต่อเนื่อง ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี เพิ่มขึ้นถึงระดับ 4.3% ส่วนตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ปรับตัวลง”
.
“ค่าเงินดอลลาร์” ดูเหมือนกำลังเขย่าเศรษฐกิจและตลาดทุน-ตลาดเงินไม่น้อย และเป็นโจทย์ต่อธนาคารกลางของหลายประเทศเวลานี้ว่าจะการป้องกันค่าเงินและการไหลออกของเงินอย่างไร DAOL SEC มองว่ามีอยู่ 3 มาตรการคือ 1) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2) เข้าแทรกแซงค่าเงิน แบบประเทศ ‘ญี่ปุ่น’ หรือ 3) เข้าควบคุมการเข้า-ออกของเงินทุนในตลาด แบบ ‘ไต้หวัน’ และ ‘จีน’ ที่กำลังเล็งใช้มาตรการนี้
.
สำหรับประเทศไทยการประชุม “คณะกรรมการนโยบายการเงิน” (กนง.) วันที่ 28 ก.ย. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาเป็น 1% จะรับมือกับเงินบาทอ่อนค่าได้แค่ไหน เพราะเศรษฐกิจพื้นฐานยังเติบโตได้ไม่ได้เจอผลกระทบอะไร ผลต่อเศรษฐกิจและตลาดจากปัจจัยนอกประเทศมีผลอย่างมาก นักลงทุนต้องพร้อมปรับการลงทุนให้ทันสถานการณ์และติดตามข่าวสารการเงินต่อเนื่อง