รั้งไว้ไม่อยู่
นนี้คาดตลาด “ขึ้นต่อ” ประเมินแนวรับที่ 1,340 / 1,327 สำหรับแนวต้านอยู่ที่ 1,356 / 1,364 คาดจะปรับตัวขึ้นได้ตามทิศทางของตลาดต่างประเทศ หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นได้อีกครั้งรับผลประกอบการ บจ. ส่วนใหญ่ออกมาค่อนข้างสดใส ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ออกมาเปิดเผยว่าจะไม่บังคับใช้มาตรการ Lockdown ผ่อนคลายความกังวลการบังคับใช้มาตรการ Lockdown ก่อนหน้าจากความคิดเห็นของปรึกษาด้านการควบคุมโรค COVID-19 ของนายโจ ไบเดน ว่าที่ ปธน.คนใหม่ของสหรัฐ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในสหรัฐเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 150,000 รายต่อวัน
ขณะที่เรายังมองแนวโน้มการแพร่ระบาดของ COVID-19 ของโลกเข้าใกล้จุดสินสุดแล้ว หลัง Pfizer และ BioNTech เปิดเผยผลการทดลองวัคซีนป้องกันเชื้ออไวรัส COVID-19 มีประสิทธิภาพกว่า 90% โดยจะยื่นจดทะเบียนต่อสานักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) และคาดจะมีการผลิตวัคซีน 50 ล้านโดสภายในปีนี้ และ 1.3 พันล้านโดสในปีหน้า รวมทั้งแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐคาดพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะเริ่มมีมุมมองที่สอดคล้องกัน โดยคาดจะได้ข้อตกลงที่วงเงินราว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงประธาน ECB ส่งสัญญาณออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ในเดือนหน้า คาดจะเป็นปัจจัยกระตุ้นทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้งในระยะถัดไป อีกทั้งการที่ญี่ปุ่นเปิดเผย GDP ไตรมาส 3 ออกมาขยายตัว 21.4% (YoY) และ 5.0% (QoQ) มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 18.9% (YoY) และ 4.4% (QoQ) สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย
สำหรับปัจจัยในประเทศ เรามีมุมมองเชิงบวกอ่อนๆ ต่อการลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะทาให้ไทยสามารถเปิดตลาดการค้าการลงทุนในอีก 14 ประเทศ คาดจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในกลางปีหน้า เรามองเป็นปัจจัยเชิงบวกระยะยาวต่อทิศทางเศรษฐกิจของไทย และเป็นจิตวิทยาเชิงบวกหนุนหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ต่อ
รวมทั้งเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ BOT ออกมาเห็นชอบให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายปันผลปี’63 โดยจ่ายได้ไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ รวมถึงไม่เกินอัตราการจ่ายในปี’62 หลังผ่านการประเมิน Stress Test โดยพบว่าธนาคารพาณิชย์ยังคงมีเงินกองทุนและเงินสารองเพียงพอรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สร้างความเชื่อมั่นและความน่าสนใจหุ้นในกลุ่มธนาคาร เรามองการส่งสัญญาณของ BOT เป็นบวกอย่างมากต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่และ ขนาดกลาง เช่น BBL ,KBANK ,SCB ,KTB และ BAY หนุนตลาดปรับตัวขึ้นได้ต่อ
สัปดาห์นี้แนะนาติดตามการพิจารณา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7 ฉบับในวาระแรก ในวันที่ 17 – 18 พ.ย. นี้ คาดกระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในช่วง ธ.ค. โดยต้องทำประชามติต่อซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะจะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศความตึงเครียดทางการเมืองได้บ้าง แต่เรามีความกังวลอ่อนๆ ต่อแนวโน้มการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นต่างคาดจะเป็นปัจจัยจำกัด Upside ของตลาดหุ้นไทยได้บ้างเล็กน้อย
วันนี้แนะนำติดตามการประกาศ GDP ไตรมาส 3 ของไทย คาดจะออกมา -8.6% (YoY) ฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ -12.2% หากออกมาดีกว่าคาด คาดจะหนุนตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นโดดเด่นได้ต่อ
ธีมการลงทุน “Commodity Play” (พลังงาน, น้ำมัน, โรงกลั่น และปิโตรเคมี) PTT, PTTEP, PTTGC, TOP และ IVL รับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและต่างประเทศที่มีแนวโน้มลดลง หลังนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐ คาดเป็นปัจจัยหนุนในระยะกลาง – ยาว ต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก คาดช่วยให้การส่งออกประเทศต่างๆ กลับมาดีขึ้น และเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นในกลุ่ม “Bull Chip” (AOT, SCC, KBANK, PTT, CPALL และ ADVANC) รับแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับ
หุ้นแนะนำ PTTGC กลยุทธ์ รอ Follow buy เหนือ 51.50 Target 53.25 / 54.50 Stop หากราคาวกตัวกลับมต่ำกว่า 50.75
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก