#Economic ผ่านพ้นไตรมาสแรกปี 65 ไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือเกือบทุกสำนักงานด้านเศรษฐกิจมีการปรับลดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี ของไทย ขณะที่สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ผลักดันให้ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง
.
.
TNN Wealth สรุปตัวเลขและเหตุผลในการปรับลดจีดีพีของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจล่าสุดมาฝากกัน

.
.
เริ่มกันที่นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแหงประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 2 ปี 2565 กนง.ลดประมาณการจีดีพีของปี 2565 อยู่ที่ 3.2% จากเดิม 3.4% และปรับจีดีพีของปี 2566 อยู่ที่ 4.4% จากเดิมที่ 4.7%
.
.
สำหรับการลดจีดีพีดังกล่าว เพราะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบบางอุตสาหกรรมยืดเยื้อ และผลกระทบจากค่าครองชีพและต้นทุนสูงขึ้นต่อภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจในกลุ่มเปราะบาง รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะกระทบเศรษฐกิจไทยผ่านการปรับขึ้นของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีผลให้อุปสงค์ต่างประเทศชะลอลง
.
.
ด้านเงินเฟ้อ กนง.ปรับเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้เป็น 4.9% และปีหน้า 1.7% โดยคาดว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ที่ 5% ในไตรมาส 2-3 ปีนี้ ซึ่งมาจากราคาพลังงานที่ส่งผ่านมาสู่ต้นทุนหมวดอาหารเพิ่มขึ้น แต่เงินเฟ้อจะค่อยๆ กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566 เพราะจะสูงขึ้นช่วงหนึ่งเท่านั้น
.
.
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. กล่าวว่าสำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3.5%-4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญประกอบด้วย
1. การปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ
2.การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
3.การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า และ
4.แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ
.
.
โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัว 4.9% การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 4.5% และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.8% ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 4.6% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดว่าอยู่ในช่วง 1.5%-2.5% จากเดิม 0.9%-1.9% และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 1.5% ของ GDP
.
.
มาดูมุมมองของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.ซึ่งล่าสุดได้ปรับกรอบประมาณการจีดีพีปี 65 เป็นขยายตัว 2.5-4% จากเดิม 2.5-4.5% พร้อมกับปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ เป็น 3.5-5.5% จากเดิม 2-3% ส่วนการส่งออก ยังคงเป้าเดิมที่ 3-5%
.
.
พร้อมกับมองว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน แต่ยังคาดว่าจะเติบโตได้ จากความมุ่งมั่นของทั้งภาครัฐและเอกชนในการปรับตัวให้สามารถอยู่กับโควิด-19 ได้ แบบเป็นปกติมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ ขณะที่ยังได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงสุดในรอบ 10 ปี
.
.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน โดยปรับอัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 65 ลดลงเหลือ 2.9% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% และปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเพิ่มเป็น 3.8% จาก เดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.1% ภายใต้สมมุติฐานสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนสามารถเจรจาได้ข้อยุติภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล และประเทศตะวันตกมีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียตลอดทั้งปี
.
.
หากสถานการณ์เลวร้ายกว่านั้น แต่การสู้รบยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่ของประเทศยูเครน และการเจรจายังมีความเป็นไปได้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 105 ดอลลาร์/บาร์เรล และประเทศตะวันตกมีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียตลอดทั้งปี จีดีพีจะลดลงไปอยู่ที่ 2.5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็น 4.5%
.
.
ปิดท้ายกันที่นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือFETCO เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในเดือน มี.ค.65 ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลงมาที่ 3.09% จากการสำรวจเดือน ม.ค.65 อยู่ที่ 3.71% เนื่องจากมีปัจจัยความเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิ-19 สายพันธุ์โอมิครอน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ราคาพลังงานที่ปรับขึ้นสูง เศรษฐกิจโลกชะลอลงจากเดิม
.
.
อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวที่ 3.09% ดังกล่าว ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ และมีโอกาสที่จะได้รับการปรับคาดการณ์ขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังหากการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีขึ้น และหากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องจะทำให้ในปีหน้ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้มากกว่า 4% ขึ้นไป
