ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องแนวโน้มทิศทางกำไรปี 66 กลุ่มปตท.

โดย ปะการัง
เผยแพร่ :
663 views

ส่องแนวโน้มทิศทางกำไรปี 66 กลุ่มปตท.

จะเติบโตได้แค่ไหนเมื่อธุรกิจกำลังฟื้นตัว

.

กลุ่มหุ้นปตท. เป็นอีกหนึ่งกลุ่มบริษัทที่นักลงทุนให้ความสนใจหรือบางคนก็ยกให้เป็นหุ้นขวัญใจในพอร์ตการลงทุน แต่ด้วยทิศทางของกลุ่มธุรกิจในปีที่ผ่านมาต้องเผชิญแรงกดดันต่อผลประกอบการจนสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนเป็นอย่างมากจากสภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานในตลาดโลกมีความผันผวน

.

แต่ภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นนั้น กลุ่มบริษัท PTT ที่ผลประกอบการอิงตามกำลังซื้อจะมีทิศทางเป็นเช่นไรและความสนใจในหุ้นจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงทำการรวบรวมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันให้ผู้อ่านในครั้งนี้

.

โดย PTT บล.เอเซีย พลัส ให้มุมมองถึงกำไรปี 2566 ว่ามีการปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลง 15.5% จากเดิม เพื่อสะท้อนการปรับลดกำไรของบริษัทลูกๆในกลุ่ม PTT ก่อนหน้า ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่กำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2566 จะอยู่ราว 9.7 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.9%

.

ทั้งนี้เป็นผลมาจากธุรกิจปิโตรเลียมที่คาดราคาขายน้ำมันและค่าการกลั่นจะปรับตัวลดลงจากที่สูงผิดปกติในปี 2565 จากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน แต่คาดจะยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอดีต เพราะมองว่าจะเป็นลักษณะการทยอยปรับตัวลดลง แต่คาดจะได้ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีที่คาดจะเห็นการฟื้นตัว แม้จะยังไม่โดดเด่นมากมาช่วยหนุนไว้

.

สำหรับคำแนะนำในการลงทุน “ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมายที่ 42 บาท เนื่องจากจากกำไรที่ยังคงแข็งแกร่งจากการเป็นบริษัทโฮลดิ้ง อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นยังแลกการ์ดกลุ่มอยู่มาก รวมถึงมีการจ่ายปันผลของงวดครึ่งปีหลังปี 65 ในระดับที่ดี หรืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลครึ่งปีกว่า 2.1% (0.7 ต่อหุ้น) ทั้งปี 2565 จ่ายปันผลอัตราหุ้นละ 2 บาท

.

ขณะที่ PTTGC บทวิเคราะห์บล. โนมูระ พัฒนสิน มองว่าธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในครึ่งปีหลังปี 65 ที่ได้เผชิญกับผลขาดทุนจากสต๊อกและซัพพลายที่ล้นตลาด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มพลิกมีกำไรในช่วงไตรมาส 1/66 หลังออกจากปิดซ่อมโรงกลั่น และส่วนต่างราคาPEและอะโรเมติกส์ฟื้นตามความต้องการใช้ของจีน

.

นอกจากนี้มองภาวะหน้าหนาวน้อยกว่าปกติในยุโรป รวมถึงการตุนพลังงานล่วงหน้าเพียงพอรับมือการคว่ำบาตรพลังงานรัสเซียเต็มที่ใน 5 ก.พ. 66 จะส่งให้ความเสี่ยงของการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่จะเข้ามาฉุดในไตรมาส 1/66 ลดลง และประมาณกำไรสุทธิปี 66 ที่ 2.05 หมื่นล้านบาท พลิกกลับมามีกำไร ดังนั้นจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 68 บาท

.

ด้าน PTTEP บทวิเคราะห์บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดผลการดำเนินงานปี 2566 อ่อนตัวลงตามราคาน้ำมันที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยประมาณกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 6.50 หมื่นล้านบาท ลดลง จากปีก่อนหน้า 8.3% ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

.

อย่างไรก็ดีปริมาณการขายทั้งปีคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ราว 4.70 แสนบาร์เรลต่อวัน จาก 4.67 แสนบาร์เรลต่อวัน ในปี 2565 โดยปัจจัยหนุนมาจากอุปสงค์ที่มากขึ้นหลังจีนเปิดประเทศ ประกอบกับการเร่งกำลังการผลิตของโครงการ G1/61 (เอราวัณ) และกำลังการผลิตของโครงการ G2/61 (บงกช) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากนี้ยังช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง

.

ดังนั้นจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 190 บาท เนื่องจาก PTTEP จะมีการจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีหลังปี 65 อยู่ที่ 5 บาท (XD วันที่ 14 ก.พ.2566 และรวมทั้งปีอยู่ที่ 9.25 บาท) ซึ่ง PTTEP เป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยมีเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปี (2561-2565) ย้อนหลังอยู่ที่ 5.90 บาท

.

ขณะที่ OR บทวิเคราะห์บล.พาย คาดว่าเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไรในไตรมาส 1/23 จากฐานต่ำในไตรมาส 4/22 เนื่องจากการกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติของโรงกลั่น และเรื่องค่าการตลาดค้าปลีกดีเซลที่ขึ้นจาก 1.4 บาทเป็น 2.0 บาท จะเป็นแรงช่วยให้ค่าการตลาดค้าปลีกของบริษัทกลับสู่ระดับปกติเหมือนในปี 2563 หรือช่วงก่อน COVID-19 ได้

.

สำหรับภาพรวมธุรกิจทั้งปีได้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 1.17 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 13% จากปัจจัยหนุนของยอดขายที่โต 5% จากทั้งธุรกิจน้ำมันและธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 26 บาท

.

ฟาก GPSC บทวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 5.66 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 141% ตามการปรับขึ้นค่า ft ที่เร่งตัว เข้ามาชดเชยต้นทุนก๊าซฯและถ่านหินที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายปิดซ่อมนอกแผนลดลง รวมไปถึงมีกำลังการผลิตใหม่ของ AEPL ราว 497 เมกะวัตต์ ทยอยดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่เข้ามาเพิ่มเติม

.

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 84 บาท โดยราคาหุ้นสะท้อนความผิดหวังของตลาดต่อการฟื้นตัวช้าของ GPSC ไปมากแล้ว และแรงกดดันที่มีต่อผลประกอบการได้ผ่านจุดแย่สุดไปแล้ว จึงมองเป็นโอกาสซื้อรับการฟื้นตัวของกำไรในปี 2566

.

ด้าน TOP บทวิเคราะห์ของบล.บัวหลวง คาดค่าการกลั่นจะขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 1/66 จากอุปสงค์ในทุกผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างราคาอะโรเมติกส์และส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบ

.

ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 1.20 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 63.2% แต่อย่างไรก็ดีจากการเติบโตของกำไรหลักที่แข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1/66 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไปและด้วยมูลค่าหุ้นที่ยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่ 78 บาท

.

สุดท้าย IRPC บทวิเคราะห์ของบล.โนมูระ พัฒนสิน ได้คาดการณ์กำไรปกติ 2566 ที่ 544 ล้านบาท พลิกกลับมามีกำไรจากปีก่อนหน้า เนื่องจากไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนก้อนใหญ่มาฉุดเหมือนในปี 2565 ขณะที่ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีบางส่วนฟื้นตัวตามความต้องการในจีนและอัตรากำไรธุรกิจโรงไฟฟ้าฟื้นตัวมาช่วยกลบต้นทุนคงที่ได้

.

ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 3.8 บาท โดยราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มผลขาดทุนในครึ่งปีหลังปี 2565 ไปมากแล้ว และประกอบกับสัญญาณฟื้นตัวส่วนต่างราคาของโอเลฟินส์ตามความต้องการใช้ในจีนที่เริ่มฟื้นตัว จึงเป็นจังหวะทยอยสะสมรับผลประกอบการในไตรมาส 1/66 และปี 2566 ที่พลิกกลับมามีกำไร

 

 


ปะการัง