โบรกเกอร์ "เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ" ระบุว่าเหตุผลที่หนุนกำไรมาจากอัตราภาษีที่ต่ำกว่าคาด และอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคาดโดยเพิ่มขึ้นเป็น 22.6% จาก 21.9% ในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นผลจาก MAKRO มีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นและสัดส่วนการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น
ยอดขายต่อสาขาเดิม หรือ SSSG เพิ่มขึ้นโดดเด่นมาที่ราว 6% จากติดลบเกือบ 1% ในไตรมาส 4/2559 และ เพิ่มขึ้น 2.4% ในไตรมาส 3/2560 เนื่องจากการใช้จ่ายต่อครั้งเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนลูกค้าทรงตัว
CPALL เปิดสาขา 116 สาขาในไตรมาส 4 รวมเป็นการเปิด 726 สาขาในปี 2560 ทำให้มีจำนวนสาขารวม 10,268 สาขา ณ สิ้นปี 2560
ปัจจัยหนุนกำไรยังมาจาก MAKRO ที่มีกำไรสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน อยู่ที่ 1,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% Q/Q, เพิ่มขึ้น 16% Y/Y
ในภาพรวมปี 2560 CPALL มีกำไรเติบโต 19% มาอยู่ที่ 19,908 ล้านบาท
บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผล 1.10 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.3%
นักวิเคราะห์ "เมย์แบงก์ฯ" คาดแนวโน้มผลประกอบการ มีกำไรเติบโตแข็งแกร่งต่อในปีนี้ จากการเดินหน้าขยายสาขา 700 สาขา และคาดยอดขายต่อสาขาเดิมเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยว อัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทยอยเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงและสินค้าประเภทอาหารพร้อมรับประทาน
ส่วนมุมมองหุ้น นักวิเคราะห์เมย์แบงก์ฯ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 94 บาท อิงวิธีคิดส่วนลดกระแสเงินสด (DCF) โดยเห็นว่า CPALL เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมคาดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรต่อปี (CAGR) 14.2% ในช่วง 3 ปี (2561-2563) โดยบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายขยายสาขาเป็น 13,000 สาขาภายในปี 2564 ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงจาก 2.6 เท่าในปี 2559 เป็น 1.7 เท่าในปี 2560 และคาดจะลดลงเหลือ 1.4 เท่าในปีนี้
ด้าน "เคจีไอฯ" ยังคงเรทติ้ง CPALL เป็น Outperform ราคาเป้าหมายปี 2018 อยู่ที่ 86 บาท อิงวิธี DCF นักวิเคราะห์ระบุว่าแม้จะมี upside ของราคาหุ้นต่อราคาเป้าหมายจำกัด แต่ด้วยปัจจัยที่ยังเอื้ออย่างเช่นเรื่องค่าจ้าง และการลดลงของหนี้ครัวเรือนที่ช่วยหนุนกำลังซื้อ อาจถือเป็นการเพิ่ม upside ของราคาหุ้นเช่นกัน
ราคาหุ้น CPALL
ที่มา: Money channel