ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องพื้นฐาน NER-STA-TEGH รับราคายางพาราฟื้นตัว

โดย บอนไซ
เผยแพร่ :
732 views

ส่องพื้นฐาน NER-STA-TEGH

รับราคายางพาราฟื้นตัว

.

หุ้นกลุ่มยางพาราได้รับความสนใจและกลับมาอยู่ในเรดาห์ของนักลงทุนอีกครั้ง หลังแนวโน้มราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยบวกมาจากการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของประเทศจีน ช่วยหนุนให้ดีมานด์ปรับตัวดีขึ้น และผู้ผลิตยางล้อที่กลับมาซื้อยางมากขึ้น หลังก่อนหน้านี้ชะลอการสั่งซื้ออกไป เนื่องจากคาดการณ์ว่าราคายางจะอ่อนตัวลง

.

ดังนั้น Wealthy Thai จึงขอพานักลงทุนมาสำรวจแนวโน้มการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มยางพารา 3 ตัว คือ STA NER และ TEGH ว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางเป็นอย่างไร และยังน่าเข้าลงทุนหรือไม่ เมื่อแนวโน้มราคากำลังฟื้นตัว

.

มาเริ่มกันที่ STA หรือ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า แนวโน้มธุรกิจยางไม่สดใส มีทั้งความเสี่ยงด้านผลผลิตลดลงและความเสี่ยงด้านลูกค้าที่ความต้องการชะลอตัวจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจ

.

โดยมองว่าการอ่อนตัวของกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 ยังไม่ใช่จุดต่ำสุด แต่ไตรมาส 3/66 เป็นจุดต่ำสุด ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์คาด STA จะมีผลขาดทุนในไตรมาส 3/66 ที่ 352 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/65 และ 2/66 ที่กำไรสุทธิ 1156 ล้านบาท และ 110 ล้านบาท ตามลำดับ

.

ทั้งนี้เพราะ ปริมาณขายและราคาขายยางลดลง ขณะที่ต้นทุนยางลดช้ากว่าราคาขาย ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ลง เพราะลดเป้าปริมาณการขายและราคาขาย คาดกำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ 327 ล้านบาท ลดลง 93% จากปีก่อน

.

ส่วนสินค้าใหม่คือยางมาตรฐาน EUDR ไปยังผู้ผลิตยางล้อยุโรปมีมาร์จิ้นสูงแต่ความต้องการเพิ่งเริ่มต้นจึงไม่สามารถชดเชยกำไรที่ลดลงได้ ระยะสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน แต่ระยะเกิน 6 เดือน ทยอยสะสมได้ และลดราคาเป้าหมายเหลือ 13 บาท (ถุงมือ 3.20 บาท ยางพารา 9.80 บาท) จากเดิม 15 บาท

.

ถัดมา NER หรือ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า แนวโน้มไตรมาส 3/66 ปริมาณขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1.2 –1.3 แสนตัน แต่ราคาขายเฉลี่ยและ GPM คาดลดลง หนุนให้คาดว่าจะมีกำไรปกติที่ 350 ล้านบาท

.

ขณะที่ไตรมาส 4/66 มีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/66 แม้ราคาขายเท่าเดิม แต่จะมีการไถ่ถอนหุ้นกู้คืนราว 1.3 พันล้านบาทในเดือนต.ค. ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยลงได้ราว 10 –13 ล้านบาทต่อไตรมาส

.

นอกจากนี้บริษัทมองราคายางปัจจุบันเป็นจุดต่ำสุดแล้ว หากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีน และการประกันราคาของไทย จะส่งผลให้ราคายางปรับตัวขึ้นได้ แต่หากไม่มีมาตรการอื่นเสริมลูกค้าอาจจะทยอยซื้อแบบค่อยเป็นค่อยไป ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมารกำไรปกติปี 66 ที่ 1,611 ล้านบาท ลดลง 12.7% ทั้งนี้ หากราคายางไม่ฟื้นตัวจะทำให้ครึ่งปีหลังอาจทำกำไรได้เพียง 600–700 ล้านบาท ทำให้ประมาณการกำไรปีนี้มี Downside risk ราว 7-13%

.

ดังนั้นยังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายสิ้นปี 66 ที่ 6.20บาท แต่ด้วยราคาหุ้นอาจหมด Catalyst ในช่วงสั้น ทำให้มี Dividend yield สูง ฝ่ายวิเคราะห์คาดเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ที่ราว 0.30 บาท ให้ผลตอบแทนประมาณ 6% ดังนั้น NER จึงเหมาะกับนักลงทุนที่คาดหวังเงินปันผล ซึ่งควรลงทุนในช่วงใกล้การรายงานงบประจำปี 66

.

ส่วน TEGH หรือ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ยังประเมินแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวขึ้นจากครึ่งปีแรก จากปริมาณสินค้าคงคลังของลูกค้าในยุโรปและจีนที่ลดลง ทำให้ลูกค้ามีโอกาสกลับมาเร่งสต็อกวัตถุดิบยางพารามากขึ้น หนุนให้แนวโน้มปริมาณขายและราคายางในครึ่งปีหลังอาจปรับสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก

.

อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นอาจยังเป็นไปได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจในยุโรปและจีนที่อ่อนแอ ซึ่งยังต้องคอยติดตามสถานการณ์ราคายางพาราอย่างต่อเนื่อง

.

ทั้งนี้ ด้วยงบไตรมาส 2/66 ที่อ่อนแอมาก และกำไรปกติครึ่งปีแรกคิดเป็นเพียง 25% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ ทำให้อยู่ระหว่างการทบทวนเพื่อปรับประมาณการกำไรลง ในเชิงกลยุทธ์ราคาหุ้นอาจตอบรับเชิงลบจากงบไตรมาส 2/66 ที่อ่อนแอ และระยะสั้น-กลางยังขาดปัจจัยบวกหนุน แนะนำชะลอการลงทุน

 

 


บอนไซ