ค่าเงินบาท - แข็งเกินไปก็ใช่ว่าจะดี
Cr. Wattana Stock Page
7 ก.พ. 2562 / 13.30 น.
ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างมาก และเรียกได้ว่าเป็นเงินสกุลที่แข็งค่าที่สุดสกุลหนึ่งในเอเชียเลยก็ว่าได้
หลายคนพอเห็นว่าค่าเงินบาทแข็ง ก็รู้สึกว่า อูย อย่างนี้ก็ดีสิ แสดงว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ค่าเงินบาทจึงได้แข็ง พื้นฐานของประเทศคงจะดีมากๆ คนอื่นถึงได้อยากได้เงินบาท
แต่เอาจริงๆแล้ว ค่าเงินที่ดีนั้น ควรอยู่ในระดับที่ "เหมาะสม" ไม่แข็งค่าเกินไป ไม่อ่อนค่าจนเกินไป และไม่แกว่งตัวมากจนเกินไป
ค่าเงินที่แข็งค่าจะส่งผลต่อภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว
ค่าเงินที่อ่อนจะส่งผลต่อการนำเข้าสินค้า ที่สำคัญคือพวกเครื่องจักรต่างๆรวมถึงวัตถุดิบในการผลิตที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ในขณะที่ค่าเงินที่แกว่งตัวมาก จะทำให้ผู้ประกอบการมีความยากลำบากในการขายสินค้า และยากมากขึ้นในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
จากที่เคยเขียนไปแล้วว่า ค่าเงินบาทที่แข็งนั้น ส่วนหนึ่งสะท้อนออกมาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
แต่เราต้องเข้าใจว่า ความแข็งแกร่งอันนั้น เกิดจากบทเรียนในอดีตตั้งแต่ยุคต้มยำกุ้ง ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนเราต้องป้องกันตัวเราเองไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นอีก
แบงก์ชาติรวมถึงรัฐบาลจึงพยายามสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้อยู่ในระดับสูง เพื่อเก็บเอาไว้เป็นกันชนรองรับหากมีใครคิดจะมาโจมตีค่าเงินเหมือนเมื่อครั้งก่อน
อีกทั้งความพยายามในการใช้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงหลังมีการลอยตัวค่าเงิน ในการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศด้วยการผันตัวสู่การเป็นประเทศที่ "เน้นการส่งออก" และ "การท่องเที่ยว"
ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่การลอยตัวค่าเงิน จนทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ ไปเกือบแตะ 60 บาทต่อดอลลาร์ และค่อยๆกลับมาได้นั้น เป็นผลดีอย่างมากต่อการส่งสินค้าออกไปยังต่างประเทศ นั่นเพราะสินค้าไทยนั้น "ถูกมาก" ในสายตาของต่างชาติ
การท่องเที่ยวก็เช่นเดียวกันที่ได้รับผลดีอย่างเต็มที่จากเงินบาทที่่อ่อนค่าลง ทำให้ต่างชาตินิยมมาเที่ยวไทยมากขึ้น เพราะมัน "ถูกเหลือเกิน" เมื่อเทียบกับค่าเงินของเขา
ไทยเราก้าวเข้าสู่ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างหนัก จนตัวเลขการส่งออกต่อ GDP กระโดดขึ้นมาเป็นเท่าตัว จากระดับประมาณ 30% มาอยู่ที่เกือบ 70% ในปัจจุบันนี้
ภาคการท่องเทียวก็เช่นเดียวกัน ภาครัฐพยายามโปรโมทการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวที่ "มีคุณภาพ" และ "ไม่มีคุณภาพ" ไปพร้อมๆกัน จนตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำรายได้เข้าประเทศมหาศาล
ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวต่อ GDP ของไทยก็สูงติด 1 ใน 5 ของโลกเช่นเดียวกัน
จะเห็นว่า สัดส่วน GDP ของไทยนั้น พึ่งพาภาคการส่งออกและภาคบริการ (ท่องเที่ยว) เป็นหลัก ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ จะเติบโตได้ดีก็ต่อเมื่อ "ค่าเงินบาทอ่อนค่า"
การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นสู่ระดับใกล้แตะ 31 บาทต่อดอลลาร์นั้น เราจึงไม่ควรมองเข้าข้างตัวเองจนเกินไปว่า เป็นเพราะพื้นฐานของประเทศเรานั้นแข็งแกร่ง แต่ต้องมองมุมกลับกันด้วยว่า มันจะกระทบกับการเติบโตของ GDP อย่างไร
การที่ GDP ของไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวมากขนาดนี้ ทำให้ผลกระทบทางลบจากค่าเงินที่แข็งค่ามีมากกว่าผลกระทบทางด้านบวกอย่างแน่นอน
ถ้าสินค้าขายไม่ได้ ย่อมต้องมีการปลดคนงาน หรือดีขึ้นมาหน่อยก็ลดเวลาการทำงานลง ซึ่งแน่นอนว่า แรงงานก็จะมีรายได้ที่น้อยลง หรือตกงานกันมากขึ้น
ถ้าค่าเงินแข็งเกินไป นักท่องเที่ยวอาจตัดสินใจมาเที่ยวไทยน้อยลง คิดดูว่า แค่คนจีนมาเที่ยวน้อยลงในช่วง 2 - 3 เดือน ยังกระทบขนาดไหน แต่ถ้าเงินบาทที่แข็งทำให้ความน่าสนใจในการมาเที่ยวไทยลดต่ำลง มันจะกระทบมากเท่าไหร่
ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจะมีรายได้น้อยลง และท้ายที่สุดก็กระทบไปถึงภาคแรงงานอยู่ดี
ท้ายที่สุดเมื่อแรงงานตกงาน หรือมีรายได้น้อยลง ก็จะลามไปถึงภาคการบริโภคของประชาชนซึ่งอ่อนแออยู่แล้ว ให้อ่อนแอลงไปอีก ทำให้ GDP มีโอกาสอ่อนตัวไปได้มากขึ้น และที่สำคัญ หนี้สินภาคครัวเรือนที่เป็นปัญหาหนักอกภาครัฐอยู่ในเวลานี้ ก็จะทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า
เราจึงต้องยอมรับกันก่อนว่า ไทยเรายังไม่พร้อมที่จะให้เงินบาทแข็งค่าไปมากกว่านี้
การที่เงินบาทแข็งค่ามากๆ ไม่ได้ทำให้เราเอาไปเบ่งในเวทีโลกได้ว่า ประเทศไทยเรานี้แข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช่เลย
เงินแข็งค่า แต่การเติบโตไม่มี ความน่าสนใจมันจะอยู่ตรงไหน??
เงินแข็งค่า มีฝรั่งขนเงินมา "พักเอาไว้" ในตราสารหนี้ เพื่อรอเวลาที่จะเอาออก มันเทียบไม่ได้กับเงินที่ฝรั่งขนเขามาเพื่อซื้อสินค้าจากไทย
เพราะเงินที่เพียงแค่มา "พักเอาไว้" มันไม่ได้กระจายไปสู่ภาคส่วนอื่น มันอยู่แค่ในระบบการเงิน เรืองการลงทุนในตราสารภาครัฐ ผิดกับเงินจากภาคการท่องเที่ยว หรือการขายสินค้า ที่มันมาหมุนต่อในระบบเศรษฐกิจให้มีการเติบโตเป็นทอดๆไปได้
แล้วเราเคยถามกันไหมว่า "ทำไมเงินบาทถึงแข็งขนาดนี้"???
ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป เราควรจะมีความสงสัยกับค่าเงินบาท ณ ขณะนี้ ว่ามันมีความ "ผิดปกติ" หรือไม่
ถามก่อนนะ มีอะไรที่ไทยเราดีกว่าประเทศอื่นๆในแถบนี้แบบผิดหูผิดตาหรือไม่??
คำตอบคือ ไม่มี
ตัวเลข GDP ที่โตระดับ 4% ในขณะที่คนอื่นเขาโตกัน 6% อีกทั้งภาคการเมืองก็ยังไม่นิ่ง
จริงอยู่ว่า ตัวเลขอื่นๆ เช่น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเราอาจสูงกว่าคนอื่น หนี้สินต่างประเทศต่อ GDP ของเราอาจไม่ได้สูงเหมือนคนอื่น แต่เมื่อชั่งน้ำหนักทุกอย่างรวมกันแล้ว ถามจริงๆเถอะว่า มันสมควรแล้วหรือ? ที่เงินบาทจะต้องแข็งแกร่งกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค
แม้ว่าฟิลิปปินส์ อินโด อินเดีย เหล่านี้ถ้าเงินจะอ่อน เกิดจากความเสี่ยงเงินไหลออกมีสูงมาก การที่เงินบาทจะแข็งกว่า เมื่อเทียบกับสกุลเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่การที่เงินบาทแข็งกว่าเงินทุกสกุลในเอเชีย ณ เวลานี้ มันไม่ใช่แล้วล่ะ!!!!
อย่าคิดว่า การโจมตีค่าเงินจะทำได้เฉพาะการเทขายเพื่อให้ค่าเงินอ่อนค่านะ ถ้าคิดจะทำกำไร มันทำได้ทุกขานั่นล่ะ
ตอนนี้จึงเริ่มมีหลายคนตั้งข้อสงสัยกันแล้วว่า การที่ต่างชาติขนเงินเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้บ้านเราอย่างมาก จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งผิดปกตินี้ เขาหวังผลอะไรหลังจากนี้หรือไม่??
อย่าลืมนะว่า ยิ่งขนเงินเข้ามาเท่าไหร่ ถ้าค่าเงินยิ่งแข็ง จะยิ่งได้กำไร
แล้วถ้าเขาพอแล้วล่ะ?? อะไรจะเกิดขึ้น
หากมีใครเริ่มไปทำสัญญาซื้อขายเงินบาทล่วงหน้าที่ราคาต่ำกว่านี้ดักเอาไว้ล่ะ?? มันก็ไม่ต่างกับเหตุการณ์ตอนต้มยำกุ้งเลยไม่ใช่หรือ??
ในขณะที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งปิดคณะเศรษฐศาสตร์ลง เพราะบอกว่า ไม่ได้รับความนิยม และเนื้อหาบางส่วนก็มีสอนในคณะบริหารธุรกิจอยู่แล้ว
แต่คนไทยจำนวนมากยังคิดว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งมากๆนั้น คือความยิ่งใหญ่ของประเทศ คือความแข็งแกร่งของประเทศ
ซึ่งมันไม่ใช่
ค่าเงินที่ดี ควรอยู่ใน "ระดับที่เหมาะสม" ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้ และแข่งขันได้ ซึ่งต้องเป็นระดับที่ไม่แข็งจนเกินไป และไม่อ่อนจนเกินไป
ซึ่งมันควรจะอยู่ที่ตรงไหน มันก็แล้วแต่ภาวะ ณ เวลานั้น
ส่วนคนที่บอกว่า ค่าเงินไม่ได้มีผลมากต่อภาคการท่องเที่ยว
จริงหรือ?? ถามตัวเองดู
ตอนเงินเยนอยู่ 33 บาทต่อ 100 เยน คนไทยไปญี่ปุ่นเท่าไหร่ แล้วพอเงินเงินเยนอ่อนลงมาเหลือ 27 บาทต่อ 100 เยน คนไทยไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
ตอนเงินปอนด์อยู่ 55 บาทต่อปอนด์ คนไทยก็ไม่ได้ไปอังกฤษกันมากเท่ากับที่ปัจจุบันเงินปอนด์อยู่ที่ 43 บาทต่อปอนด์
ค่าเงินจึงส่งผลอย่างมากต่อการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ
อยู่ๆนักท่องเที่ยวคงไม่ได้กลับมาได้เอง อย่างนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นมาได้ ส่วนหนึ่งก็จากมาตรการยกเว้นค่าวีซ่าไม่ใช่หรือ?? ตั้งเกือบ 2 พันบาทเลยนะ
ซึ่งจริงๆแล้ว แก้ปัญหาที่ต้นเหตุน่าจะง่ายกว่า ก็คือ "สงบปาก สงบคำ" ลงบ้าง แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วล่ะ
คิดดูสิ คำพูดแค่ไม่กี่ประโยค ไม่กี่วินาที สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติได้มหาศาล
น้อยคนนักที่จะทำได้