จุดจบ Bitcoin และทองคำ? Yardeni Research ชี้ Stablecoin คือผู้ชนะตัวจริง
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ นักลงทุนทุกคน! วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องที่กำลังฮอตสุดๆ และกำลังจะเปลี่ยนโลกการเงินของเราไปตลอดกาล นั่นคือเรื่องของ "Stablecoin" ค่ะ พอดีทาง Yardeni Research เพิ่งออกบทความล่าสุด ชื่อว่า "Geniuses Of Stablecoin" ซึ่งวิเคราะห์ไว้ได้น่าสนใจมากๆ เลยอยากจะนำมาย่อยให้ทุกคนฟังกันค่ะ
บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าหลังจากที่สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายสำคัญฉบับใหม่ออกมา อนาคตของ Stablecoin กำลังจะสดใสและเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
Yardeni Research เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ ลองจินตนาการถึง ดร.แฟรงเกนสไตน์ ที่พยายามจะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นแนวคิดที่อัจฉริยะมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว
วันนี้ อัจฉริยะทางการเงินยุคใหม่ก็กำลังสร้าง "คริปโตเคอร์เรนซี" โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และหนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดก็คือ Stablecoin คำถามสำคัญคือ สิ่งประดิษฐ์นี้จะทำให้ชีวิตการเงินของเราดีขึ้น หรือจะสร้างฝันร้ายทางการเงินครั้งใหม่กันแน่?
เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Stablecoin คืออะไร อธิบายง่ายๆ มันคือคริปโตฯ ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้มีมูลค่าคงที่ โดยเวอร์ชันที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะถูกตรึงไว้ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เสมอค่ะ
ที่สำคัญคือ มันจะต้องมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงหนุนหลังเต็มจำนวน เช่น ตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ (Treasury bills หรือ T-bills) หรือสินทรัพย์สภาพคล่องอื่นๆ อย่างเงินฝากธนาคาร และกองทุนรวมตลาดเงินภาครัฐ ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้การเป็นเจ้าของ Stablecoin มีความปลอดภัย และสามารถใช้ทำธุรกรรมพร้อมเคลียร์ริ่งได้ทันที ไม่ต้องรอเคลียร์เช็คข้ามวันข้ามคืนอีกต่อไป

GENIUS Act: กฎหมายเปลี่ยนเกมโลกคริปโตฯ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในกฎหมาย GENIUS Act เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2025 นี่คือก้าวสำคัญที่นำความชัดเจนและความน่าเชื่อถือมาสู่โลกการเงินดิจิทัล กฎหมายนี้สร้างกรอบการกำกับดูแล Stablecoin เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เสริมความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ในเวทีโลก และกระตุ้นนวัตกรรมฟินเทค มันแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมองเห็นความสำคัญของ Stablecoin ว่าไม่ใช่แค่เครื่องมือเก็งกำไร แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบการชำระเงินแห่งอนาคต
กฎหมายนี้ไม่ได้แค่เข้ามาควบคุม แต่เป็นการ "รับรอง" ให้ Stablecoin ถูกกฎหมายค่ะ ทำให้ทั้งธนาคารและบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารสามารถออก Stablecoin ได้ภายใต้กฎที่ชัดเจน หัวใจหลักของกฎหมายนี้เรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก นั่นคือ ผู้ออก Stablecoin ในสหรัฐฯ จะต้องสำรองเหรียญด้วยสินทรัพย์ดอลลาร์ที่ปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูงแบบ 1 ต่อ 1 เท่านั้น เช่น เงินฝากธนาคาร, T-bills, ธุรกรรม Repo, Reverse Repo และกองทุนรวมตลาดเงินภาครัฐ
พูดง่ายๆ คือ Stablecoin กลายเป็น "ปลอกหุ้มดิจิทัล" (Digital Wrappers) ของเครื่องมือทางการเงินแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยนั่นเอง
จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ Fed คาดว่ามูลค่าตลาดของ Stablecoin อาจพุ่งสูงถึง 1 ถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ซึ่งตัวเลข 3 ล้านล้านนี้เทียบเท่ากับเม็ดเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อัดฉีดเข้าระบบผ่านการซื้อพันธบัตรในช่วงวิกฤตโควิดเลยนะคะ และด้วยปริมาณตั๋วเงินคลังในตลาดที่มีอยู่ไม่ถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ความต้องการซื้อ T-bills เพื่อมาหนุนหลัง Stablecoin จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในตลาดตราสารหนี้อย่างแน่นอน
ที่น่าสนใจคือ กฎหมายห้ามไม่ให้ผู้ออก Stablecoin จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนให้กับผู้ถือเหรียญ เพื่อป้องกันการแข่งขันกับเงินฝากธนาคาร แม้บางเจ้าจะพยายามเลี่ยงบาลีด้วยการให้ "รางวัล" (Rewards) แทน แต่คาดว่าหน่วยงานกำกับดูแลคงจะเข้ามาจัดการค่ะ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ออกเหรียญจะมีแรงจูงใจมหาศาลที่จะทำให้คนหันมาใช้ Stablecoin เพราะพวกเขาไม่ต้องจ่ายอะไรให้ผู้ซื้อเหรียญเลย แต่กลับได้ดอกเบี้ยจากเงินที่ผู้ซื้อจ่ายมา เรียกว่าได้กำไรจากส่วนต่างเต็มๆ ค่ะ
คลื่นกระทบเศรษฐกิจมหภาคที่คาดเดายาก
การเติบโตของ Stablecoin ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้คำตอบที่ชัดเจนค่ะ
ประเด็นแรกคือผลกระทบต่อนโยบายการเงิน Stablecoin ถือเป็นองค์ประกอบใหม่ของปริมาณเงินที่ควรถูกรวมเข้าไปใน M1 (M1 คือปริมาณเงินในความหมายแคบ ซึ่งรวมถึงเงินสดและเงินฝากเผื่อเรียก)
การที่ Stablecoin แพร่หลายจะทำให้ Fed ควบคุมปริมาณเงินในระบบได้ยากขึ้น หาก Fed ต้องการชะลอเศรษฐกิจเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ พวกเขาอาจจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) มากกว่าปกติเพื่อดึงการควบคุมกลับคืนมา คำถามคือ Stablecoin จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ หรือสร้างความไร้เสถียรภาพทางการเงินหรือไม่?
ประเด็นต่อมาคือผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เนื่องจาก Stablecoin ส่วนใหญ่จะถูกหนุนหลังด้วยตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ สิ่งนี้จะเพิ่มความต้องการซื้อหนี้ของรัฐบาล ซึ่งน่าจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตหนี้ได้ค่ะ แต่ในทางกลับกัน มันก็อาจจะเอื้อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงขาดดุลงบประมาณมหาศาลและก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตหนี้ที่ใหญ่กว่าเดิมในอนาคตก็ได้
แล้วตลาดพันธบัตรล่ะ? อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yields) จะขึ้นหรือลง? มันอาจจะลดลงหาก Stablecoin ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการ T-bills เพิ่มขึ้น ในขณะที่การออกพันธบัตรระยะยาวลดลง แต่ Yields ก็อาจจะสูงขึ้นได้ หาก Stablecoin เปลี่ยนให้ T-bills กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุด และไปกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อในราคาสินค้าอุปโภคบริโภค หรือเงินเฟ้อในราคาสินทรัพย์
ที่แน่ๆ คือ Stablecoin ที่อิงกับดอลลาร์จะเป็นผลดีอย่างมากต่อค่าเงินดอลลาร์ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศค่ะ
ตัวกลางทางการเงิน ธุรกิจ และบุคคลทั่วไปน่าจะใช้มันเพื่อชำระเงินทั่วโลกได้ทันที มันเริ่มแพร่หลายแล้วในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งพัฒนาการนี้อาจส่งผลเสียต่อสกุลเงินสำรองหลักอื่นๆ รวมถึงทองคำด้วยค่ะ
วิวาทะเรื่อง "อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง"
อีกประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอย่างหนักคือผลกระทบต่อ "อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง" (Neutral Interest Rate หรือ r*) ซึ่งหมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กระตุ้นหรือชะลอเศรษฐกิจค่ะ
คุณสตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการ Fed โดยการแต่งตั้งของทรัมป์ ได้ออกมาพูดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนว่า Stablecoin เป็นเหมือน "ภาวะเงินออมล้นโลก" (Global Saving Glut) ยุคใหม่
ทฤษฎีของคุณมิแรนคือ เมื่อ Stablecoin แพร่หลาย มันจะเพิ่มปริมาณเงินทุนที่ปล่อยกู้ได้ และกดดันให้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (r*) ลดลง เขาประเมินว่าผลกระทบนี้อาจมากถึง 40bps (0.40%) ซึ่งหมายความว่า Fed อาจจะต้องลดดอกเบี้ยลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ทาง Yardeni Research ยังไม่ค่อยเชื่อในทฤษฎีนี้ค่ะ เพราะยังไม่ชัดเจนว่ากลไกนี้จะทำงานอย่างไร การที่ Stablecoin เพิ่มความต้องการ T-bills อาจทำให้ดอกเบี้ย T-bill ลดลง เว้นแต่ Fed จะเข้ามาแทรกแซงเพราะกังวลเรื่องเงินเฟ้อและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน
นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์พยายามผลักดันแนวคิดนี้ แต่ Stablecoin และนวัตกรรมฟินเทคอื่นๆ รวมถึง AI น่าจะช่วยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้อย่างมาก ซึ่งโดยปกติแล้ว การเติบโตของผลิตภาพที่สูงขึ้นควรจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง "สูงขึ้น" ไม่ใช่ลดลงค่ะ
แต่มุมมองของคุณมิแรนก็น่าสนใจ เขามองว่า Stablecoin เป็นเหมือน "มิชชันนารีดอลลาร์" (Dollar Missionaries) ที่ช่วยเผยแพร่การใช้เงินดอลลาร์ไปยังผู้คนที่เข้าไม่ถึงบริการธนาคารทั่วโลก ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของดอลลาร์และลดต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ ไปพร้อมกัน แม้คุณมิแรนจะมองเห็นความเสี่ยง เช่น การที่เงินอาจไหลออกจากธนาคาร หรือความเสี่ยงที่จะเกิดการแห่ถอน แต่เขาก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่า Stablecoin จะอยู่ต่อไป และ Fed ต้องปรับกลยุทธ์ตาม
การคัดเลือกโดยธรรมชาติในโลกคริปโตฯ (Crypto Darwinism)
การเติบโตของ Stablecoin กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคริปโตฯ อื่นๆ ค่ะ เพราะคริปโตฯ อย่าง Bitcoin ที่ไม่ได้ผูกกับดอลลาร์ มีมูลค่าผันผวนเกินกว่าจะใช้ทำธุรกรรมได้สะดวก ทำให้โอกาสเติบโตของเหรียญเหล่านั้นลดลง
คุณเคธี วูด (Cathie Wood) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ ARK Invest เพิ่งปรับลดเป้าหมายราคา Bitcoin ในปี 2030 ลงจาก 1.5 ล้านดอลลาร์ เหลือ 1.2 ล้านดอลลาร์ นี่ไม่ใช่สัญญาณขาลงนะคะ แต่เป็นการปรับสมดุลใหม่ หรือการแบ่งหน้าที่กันทำงานในระบบนิเวศคริปโตฯ
ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC คุณวูดยอมรับว่า Stablecoin กำลังแย่งซีน Bitcoin ในเรื่องการชำระเงินค่ะ จากเดิมที่ Bitcoin ถูกมองว่าจะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนดิจิทัลสากล ตอนนี้บทบาทนั้นกำลังตกเป็นของ Stablecoin พูดง่ายๆ คือ "ดอลลาร์ดิจิทัล" กำลังชนะในการแข่งขันด้านการโอนเงินค่ะ
แต่ Bitcoin ไม่ได้หายไปไหนค่ะ คุณวูดมองว่ามันกำลังเติบโตไปเป็น "ทองคำดิจิทัล" (Digital Gold) ซึ่งเป็นแหล่งเก็บมูลค่าในระยะยาว ด้วยจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญและโครงสร้างที่กระจายศูนย์
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ Yardeni Research นั้น Stablecoin ได้ลดโอกาสที่ Bitcoin จะพุ่งขึ้นไปสูงๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ และราคาอาจจะต่ำกว่าที่คุณวูดคาดการณ์ไว้มาก
สรุปคือ ตลาดคริปโตฯ กำลังเติบโตและเรียนรู้ที่จะแบ่งหน้าที่กันชัดเจนขึ้น โดย Stablecoin กลายเป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับการทำธุรกรรมในเครื่องจักรการเงินโลก ส่วน Bitcoin กำลังแข็งตัวกลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร 100% ค่ะ
Stablecoin โตแรงในตลาดเกิดใหม่
เราเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Stablecoin ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งมันถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการชำระเงิน การโอนเงิน และการรักษามูลค่าท่ามกลางความไม่แน่นอนของสกุลเงินค่ะ
ในภูมิภาคอย่างละตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนหันมาใช้ Stablecoin ที่อิงกับดอลลาร์อย่าง USDT และ USDC เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของสกุลเงินท้องถิ่นและระบบธนาคารที่ไม่น่าเชื่อถือ
เสน่ห์ของ Stablecoin คือความสามารถในการทำธุรกรรมที่รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และไร้พรมแดน มันช่วยให้เข้าถึงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งยังคงเป็นที่น่าเชื่อถือในประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น ในไนจีเรียและเคนยา มีการใช้ Stablecoin เพื่อการค้าระหว่างประเทศและการโอนเงินกลับบ้าน ส่วนในอาร์เจนตินาและตุรกี ผู้คนใช้มันเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงิน ที่สำคัญคือมันช่วยให้ประชากรที่เข้าไม่ถึงธนาคารสามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจโลกผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลได้
ในมุมมองมหภาค การเติบโตนี้เสริมความแข็งแกร่งของดอลลาร์ แต่การที่คนหันไปใช้คริปโตฯ มากขึ้น (Cryptoization) ก็สร้างความท้าทายให้กับธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่เช่นกัน เพราะอาจบั่นทอนอำนาจอธิปไตยทางการเงินและทำให้การจัดการอัตราแลกเปลี่ยนซับซ้อนขึ้นค่ะ
โดยสรุปแล้ว GENIUS Act ไม่ใช่แค่การจัดระเบียบ แต่เป็นพิมพ์เขียวที่รวมคริปโตเข้ากับระบบการเงินหลัก Stablecoin ไม่ใช่แค่เรื่องเก็งกำไรอีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็นโครงสร้างสำคัญของระบบดอลลาร์ ยักษ์จินนี่ตนนี้ได้ออกมาจากตะเกียงแล้ว และกำลังปรับโฉมโครงสร้างพื้นฐานของการเงินโลก ถึงเวลาที่เราทุกคนจะต้องปรับตัวตามให้ทันค่ะ
ปล. หัวข้อมีคำว่า “ทองคำ” ไว้เฉยๆ นะ ไว้ดักรถทัวร์
ที่มา.. เพจ Beauty Investor