TOP10 หุ้นที่ต่างชาติซื้อ-ขาย ฮอตสุดต้อนรับเดือนพ.ค
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองตรงกันว่าดัชนีหุ้นที่ระดับ 1,280-1,300 จุด เริ่มมีอัพไซต์จำกัด ซึ่งปัจจัยหลักในเดือนพฤษภาคม ต้องติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ยังไม่มีปัจจัยใหม่นอกจากความเชื่อมั่นผู้บริโภค มาตรการเศษฐกิจและมาตรการทางการเงินการคลังของรัฐบาลทั่วโลก
และในช่วงเริ่มต้นเดือนใหม่ Wealthy Thai ได้รวบรวมข้อมูล “10 หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อ-ขายมากที่สุด” จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มาฝากกัน เพราะตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (1 มกราคม-28 เมษายน 2563) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยแล้ว 159,718.89 ล้านบาท เฉพาะเดือนเมษายน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยแล้ว 44,363.98 ล้านบาท
มาดูกันเลยว่าหุ้นตัวไหนที่นักลงทุนต่างชาติเก็บเข้าพอร์ตและขายออกมากที่สุด!!
โดยในหุ้นทั้ง 10 ตัว พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้น CPALL อย่างมีนัยสำคัญ โดยในเม็ดเงิน 4,072.9 ล้านบาท คิดเป็นการซื้อหุ้นในเดือนเมษายนถึง 2,512.1 ล้านบาท หรือเกินครึ่ง!!
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจัยโดดเด่นของหุ้น CPALL ที่นักวิเคราะห์แนะนำซื้อ เนื่องจากประเมินว่าในปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นของ CPALL เพิ่มขึ้น 35bps YoY เป็น 22.7% เนื่องจากสินค้าพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่ม All Café ที่มีอัตรากำไรสูง และขายได้ค่อนข้างดี ขณะที่บุหรี่ซึ่งอัตรากำไรต่ำมียอดขายลดลง ในด้านค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดร้าน และความปลอดภัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อีกทั้งค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจาก TFRS16 โดยรวมแล้วเราคาดกำไร 1Q63 ลดลง 8% QoQ และ 2% YoY เป็น 5,671 ล้านบาท
ยอดขาย CPALL เติบโตอีก 6% จากยอดขายร้าน 7-11
ทั้งนี้แม้ร้านเซเว่นฯ ซึ่งอยู่ในแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย มียอดซื้อสินค้าต่อใบเสร็จเพิ่มขึ้นในช่วง Covid-19 แต่ไม่สามารถชดเชยจำนวนลูกค้าเข้าร้านที่ลดลง อย่างไรก็ดีคาดว่ายอดขายรวมของ CPALL ยังเติบโต 6% YoY เนื่องจากคาดว่ามีจำนวนร้านเซเว่นฯ เพิ่มขึ้น 700 สาขา YoY และยอดขายของ MAKRO เติบโตจากการที่ผู้บริโภคตุนสินค้าในช่วงเก็บตัวอยู่บ้าน ทำให้คาดว่า SSSG เพิ่มเป็น +7%
คาดกำไร AOT ไตรมาส 2 ติดลบ 60% จากผลกระทบ Covid-19
ขณะที่หุ้นฮิตตลอดกาลอย่าง AOT เป็นหุ้นอันดับ 2 ที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อมากที่สุด ถึง 6,568.6 ล้านบาท นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า การที่ AOT ช่วยเหลือผู้ประกอบการในสนามบิน เพื่อให้อุตสาหกรรมไปต่อได้ในระยะยาว เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะ AOT อาจกระทบหนักกว่านี้ หากสายการบินและร้านค้าต้องปิดตัวลง อย่างไรก็ดีผลกระทบระยะสั้นสูงกว่าที่เราและตลาดคาด ดังนี้
1.AOT คาดจำนวนเครื่องบินปี 2562/63 ลดลง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ขณะที่จำนวนผู้โดยสารลดลง 53% YoY สูงกว่าสมมติฐานของเราที่ลดลง 20-30% อย่างมีนัยสำคัญ ตามที่ผู้บริหารประเมินว่า 2H63 Traffic จะอ่อนแอมาก และ 2.การต้องลดราคาเพิ่มเติมอีก 50% เพื่อเยียวยาลูกค้าสายการบินและร้านค้า ขณะที่ค่าใช้จ่ายไม่สามารถลดลงตามทั้งหมด ทำให้กระทบกำไรของบริษัท นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้าจึงปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2562/63 เป็น 2.3 พันล้านบาท (-91% YoY) หลักๆ จากการปรับลดสมมติฐานจำนวนเที่ยวบินที่ -45% YoY และนักท่องเที่ยวต่างชาติ -60% YoY และการปรับลดราคาตามมาตรการเยียวยารอบใหม่
อย่างไรก็ตามคาด 2Q63 มีกำไรที่ 3 พันล้านบาท (-60% YoY) แต่คาด 2H63 ขาดทุน ทั้งนี้เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นประเมินกำไรปกติของ AOT กลับมาใกล้เคียงปี 2562 อีกครั้ง ในปี 2564/65 ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท (+113% YoY) หรือใช้เวลาราว 2 ปี จึงปรับลดราคาเหมาะสมเป็น 54.00 บาทต่อหุ้น แนะนำเพียง “Trading”
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก