สตาร์ตไม่ติด
By พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ
ปัญหาที่เกิดกับการใช้รถยนต์อย่างหนึ่งคือ “สตาร์ตไม่ติด” ถือว่าเป็นปัญหาคู่กันกับการมีรถยนต์เกิดขึ้นในโลกนี้เลยก็ว่าได้ แม้ปัจจุบันนี้จะมีรถยนต์ที่ใช้พลังงานหลากหลาย

เช่นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในมาให้สตาร์ตแล้วก็ตาม แต่อาการที่ระบบขับเคลื่อนไม่พร้อมจะทำงาน หรือไม่มีไฟสัญญาณใด ๆเกิดขึ้นที่หน้าปัด ก็เทียบเคียงได้กับอาการสตาร์ตไม่ติดของรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
อาการสตาร์ตไม่ติดที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ยุคก่อน มักจะมีต้นสายปลายเหตุมาจากกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่อ่อนกำลัง จนไม่สามารถหมุนมอเตอร์สตาร์ต คนขับรถยนต์ในยุคแรก ๆ มักจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง โดยบางครั้งอาจจะต้องขอแรงหรือขอกำลังจากผู้อื่นมาช่วยด้วย นั่นคือต้องแก้ไขอาการสตาร์ตไม่ติด ด้วยการใช้วิธีการที่เรียกว่า “เข็นสตาร์ต”
ด้วยความที่รถยนต์ในยุคแรก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์เบนซินหรือดีเซลก็ตาม ล้วนแล้วแต่ใช้ระบบถ่ายทอดกำลังแบบที่เรียกกันว่าเกียร์ธรรมดา ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถจะหาทางให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ด้วยการใช้กำลังคนมาเข็นหรือดันจากด้านท้าย ผู้ขับรถจะโยกคันบังคับเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ ๒ จากนั้นเหยียบคลัตช์ให้จม เพื่อที่ผู้ซึ่งมาช่วยเข็นรถจะได้ออกแรงไม่มากนักในการที่จะเข็นรถให้เคลื่อนที่ เมื่อเห็นว่ารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วพอสมควร คืออยู่ที่ประมาณ ๕ ถึง ๑๐ กม./ชม. ก็จะปล่อยคลัตช์ให้จากออกมาอย่างรวดเร็ว เกียร์ก็จะทำหน้าที่กระตุกไปที่ฟลายวีลส์ ข้อเหวี่ยงก็จะทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นลง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไฟหัวเทียนเกิดประกายขึ้นมา เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นมาเหมือนกับการสตาร์ตติดด้วยมอเตอร์สตาร์ต
แต่การสตาร์ตด้วยวิธีการเข็นติดนี้ แม้จะเป็นที่รู้จักกันโดยถ้วนหน้าของผู้ขับรถยนต์ยุคนั้นก็ตาม แต่สิ่งที่ต้องถึงระวังก็คือทันทีที่เครื่องยนต์ติด รถยังอยู่ในตำแหน่งเกียร์ขับเคลื่อนคือเกียร์ ๒ หากไม่มีความระมัดระวังเพียงพอ รถก็จะพุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรงอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้
ทั้งนี้หากผู้ขับรถไม่ทำการเลี้ยงรอบเครื่องยนต์ ด้วยการเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งเครื่องยนต์เอาไว้ เครื่องยนต์ก็อาจจะดับลงไปอีกครั้งหนึ่งได้เช่นกัน ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถจึงต้องมีความชำนาญเพียงพอ ในการที่จะปรับน้ำหนักเท้าที่แป้นคันเร่ง และแป้นคลัตช์ในจังหวะที่ลงตัวกันพอดี
เหตุผลที่ส่วนใหญ่ต้องใช้เกียร์ ๒ นั้น เป็นเพราะเกียร์ ๑ อัตราทดจะสูงเกินไป จนทำให้รอบการหมุนของเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถติดเครื่องยนต์ได้ หรือหากใช้เกียร์อื่น ๆ ที่มีอัตราทดต่ำลง เช่นเกียร์ ๓ หรือ เกียร์ ๔ ด้วยอัตราทดที่ต่ำมาก เมื่อเครื่องยนต์ติดขึ้นมาก็จะมีอาการกระตุกกระโจน แล้วเครื่องยนต์ก็จะดับลงอีกครั้งหนึ่งได้ง่ายๆ
หากเป็นรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักตัวรถ หรือมีสิ่งของบรรทุกทำให้มีน้ำหนักมาก การใช้แรงคนเข็นหรือดันจากด้านท้ายเพื่ออาจจะไม่สามารถทำได้ จึงอาจจะต้องใช้รถยนต์อื่นมาทำการลากจูงแทน กรณีเช่นนี้ต้องระวังการชนท้ายกันเกิดขึ้น ในขณะที่เครื่องยนต์ติดขึ้นมา
ยุคต่อมาเมื่อหันมาใช้เกียร์อัตโนมัติมากขึ้น จึงมีการหันมาใช้วิธีเพิ่มกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ด้วยการใช้วิธีการที่เรียกกันว่า “พ่วงแบต” หรือ“จั๊มพ์แบต” กล่าวคือหารถยนต์อีกคันหนึ่งมาแล้วสายไฟล่ามจากแบตเตอรี่ต่อไปเข้ากับแบตเตอรี่ของรถคันที่สตาร์ตไม่ติด จากนั้นจึงสตาร์ตตามปรกติ เพราะมีกำลังไฟฟ้าจากรถที่เข้ามาช่วยเสริมทำให้เพียงพอสำหรับการปั่นหรือหมุนมอเตอร์สตาร์ต
ซึ่งวิธีการพ่วงสายแบตเตอรี่นั้น ในระยะหลังมีทฤษฎีต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ผมจึงขอละเอาไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องมาถกเถียงกัน อีกทั้งปัจจุบันนี้มีอุปกรณ์เก็บกระแสไฟฟ้า ที่เรียกกันว่าเพาเวอร์แบงก์ หรือแบตเตอรี่สำรอง แต่ผู้ใช้ต้องศึกษาวิธีการ “คีบสายไฟ” ให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นนอกจากจะไม่สามารถสตาร์ตรถติดแล้ว ยังอาจจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรทำให้เกิดความเสียหายอย่างอื่นตามมาอีกมากมายด้วย
รถยนต์ปัจจุบันนี้ใช้วิธีการสตาร์ตเครื่องยนต์ด้วยการกดปุ่ม ดังนั้นอาการสตาร์ตไม่ติดอาจจะเกิดจากกระแสไฟฟ้าในกุญแจอ่อนกำลัง จนทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณไปเพื่อหมุนมอเตอร์สตาร์ตได้ ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบหาสาเหตุให้แน่ชัดก่อนที่จะแก้ไข
มีคำแนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ที่กุญแจหรือตัวส่งสัญญาณ อย่างน้อย ๒ ปี/ครั้ง หรือให้สลับเอากุญแจหรือตัวส่งสัญญาณสำรองออกมาใช้งานบ้าง วิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับรถที่ใช้การกดปุ่มสตาร์ตแล้วสตาร์ตไม่ติดก็คือ ให้เอากุญแจหรือตัวส่งสัญญาณไปแนบกับปุ่มกดสตาร์ต เพราะหากเกิดจากกระแสไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่อ่อนกำลังลง การเอาตัวส่งสัญญาณและตัวรับสัญญาณไปไว้ใกล้กัน ก็อาจจะทำให้สามารถรับและส่งสัญญาณถึงกันได้ง่ายมากขึ้น
การทดสอบว่าแบตเตอรี่มีกระแสไฟฟ้าอ่อนหรือไม่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการติดเครื่องยนต์แล้วเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในรถ เช่น เปิดไฟหน้าในตำแหน่งไฟสูง เปิดแอร์ วิทยุ เปิดหน้าจอทุกจอ จากนั้นปล่อยเครื่องยนต์ให้อยู่ในรอบเดินเบา แล้วบีบแตร ถ้าเสียงเบาผิดปรกติ หรือมีเสียงเพี้ยนให้คาดเดาไว้ก่อนว่าแบตเตอรี่มีกระแสไฟอ่อน
จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วสังเกตไฟสูง หากมีความสว่างมากขึ้นตามจังหวะการเร่ง และความสว่างลดลงตามจังหวะการเบาเครื่อง ก็แน่ใจได้ว่าแบตเตอรี่มีกำลังไฟอ่อนลง แต่กรณีนี้หากไฟหน้ารถยนต์เป็นแบบ แอลอีดี อาจจะสังเกตได้ยากขึ้นพอสมควร จึงให้ไปสังเกตไฟที่หน้าปัดวิทยุแทน ว่าสว่างมากขึ้นและหรี่ลงตามจังหวะการเร่งและเบาของเครื่องยนต์หรือไม่
อาการสตาร์ตไม่ติด นอกเหนือไปจากสาเหตุของไฟในแบตเตอรี่ ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นหากมีอาการสตาร์ตไม่ติดจงอย่าเพิ่งลนลานจนถึงขั้นตื่นตระหนก เพราะจะทำให้ไม่สามารถหาต้นเหตุที่แท้จริงได้ สิ่งสำคัญที่ต้องเตือนกันเอาไว้เสมอก็คือ ในกรณีที่มีการต่อพ่วงสายไฟ ไม่ว่าจากแบตเตอรี่หรือจากแบตสำรองไฟก็ดี ต้องมั่นใจว่าได้ต่อวงจรไฟฟ้าอย่างถูกต้องเท่านั้น
คราวหน้าจะได้มาพูดถึงเหตุอื่นที่ทำให้สตาร์ตไม่ติด รวมถึงวิธีการตรวจสอบและแก้ไขเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ กันต่อครับ
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/auto/1195724