เพื่อนๆ นักลงทุนคงเคยได้ยิน การเล่นหุ้ยก็เหมือนกับเล่นการพนัน มีขึ้นมีลง มีได้มีเสียน่าจะเหมือนๆกันแหละ ซึ่งวิธีการเล่นในรูปแบบนี้ สะท้อนได้ว่าคุณโฟกัสไปที่ ความเสี่ยง (Risk) มากกว่า ผลตอบแทน (Return) ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว มันก็ คือ การพนันนั้นเอง
แต่ว่าหากคุณโฟกัสที่ผลตอบแทนมากกว่าความเสี่ยง อย่างต่อเนื่องในระยะยาว แล้วนี่ คือ การลงทุน ลองที่สามารถเทียบดูได้จากสถิติ ดัชนี SET ที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่เกือบ 10 % และมีผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอีกประมาณ 3 % อันนี้เป็นสถิติจริง ๆ เลย
และมีผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอีกประมาณ 3 % อันนี้เป็นสถิติข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ SET เลย เทียบกับเงินฝาก ณปัจจุบัน ยังไม่ถึง 1 %
ปัญหาหนึ่งที่สำคัญคนส่วนมากชอบที่จะเสี่ยงสูง ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ โฟกัสที่ Risk มากกว่า Return หวังผลเพียงในระยะสั้น ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงอยู่เท่าไหร่ ดังนั้นจึงมีโอกาสเสี่ยงสูงมากหรือเจ๊งได้ง่าย ๆ ตามมา
ยกตัวอย่าง ให้เห็นเป็นรูปธรรม คนบางกลุ่มชอบที่ซื้อหุ้นในช่วงที่ราคากำลังวิ่งแรง ๆ เช่น หุ้นราคา 10 บาทวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วกระโดดเข้าไปซื้อตามกันไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าหุ้นตัวนี้ทำธุรกิจอะไร มีผลประกอบการเป็นอย่างไร จนเมื่อราคาขึ้นไปสูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปไกลแล้ว ราคาพลิกหันหัวปรับลดลงมาเหลือ 5 บาท ตามมูลค่าที่ควรจะเป็น ทำให้คุณจะติดดอยได้ง่าย ๆ
หรือในทางตรงข้าม เป็นคนประเภทชอบสวนตลาด เห็นราคาหุ้นกำลังลงมา หวังที่จะไปเก็บของถูก เช่น จากราคาหุ้น 10 บาท ลงมาเหลือ 5-6 บาท โดยที่ไม่สนใจว่าหุ้นลงเพราะปัจจัยใดกันแน่ เช่น บริษัทมีภาวะการขาดทุนหรือไม่ เกิดวิกฤตในสินค้าหรือบริษัทหรือไม่ หรือว่าโดนยึดใบอนุญาตหรือไม่มีเงินจ่ายค่าประมูลงานหรือไม่ เป็นต้น จนกระทั้งราคาหุ้นลงมาเหลือ 2-3 บาท เป็นต้น แล้วที่นี้ถ้าเกิดคุณไปเก็บหุ้นนั้นไป คุณเองจะติดหุ้นไปหลายปีเลยทีเดียวก็ได้
เพื่อป้องกันไม่ใช่หากเกิดกรณีติดหุ้นนานๆ ก็ Cut loss หรือการตัดขาดทุน ที่นักลงทุนนิยมเรียกกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว Cut loss คือ จุดที่คนๆนั้นยอมรับความเสี่ยงได้มากที่สุด เช่น ราคาหุ้น 10 บาท นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้ 20 % ดังนั้นราคาที่ควรจะตัดสินใจขายทุนออกไปอยู่ที่ 8 บาท
- หากเป็นนักลงทุนในทางเทคนิคอล พวกเขามักจะกำจัดความเสี่ยงของการซื้อหุ้น และดูโอกาสการที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไป หาก Return มีมากกว่า Risk ในสัดส่วนที่สูง จะทำการเข้าซื้อหุ้น โดยใช้เครื่องมือกราฟในการประกอบการตัดสินใจโดยใช้ Technical signal & System trade
- หากเป็นสายการลงทุนพื้นฐานหรือ VI สิ่งที่คุณต้องรู้คือปัจจัยพื้นฐานของหุ้น สามารถวิเคราะห์ ความถูกแพงของหุ้นเบื้องต้นได้ โดยใช้ Fundamental analysis (P/E ,P/BV ,Dividend Yield ,Roe, ROE, net profit margin ,business strategy)
นอกจากนั้น สาวก VI พันธ์แท้ จะไม่สนใจราคาหุ้นที่จะขึ้นหรือลงเลยใช่ไหม ตอบว่า ก็ใช่นะ แต่เขาจะวิเคราะห์หา margin of safety จะเข้าเก็บหุ้นที่มูลค่าต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ซึ่งมูลค่า แตกต่างกับ ราคาหุ้น (Price is what you pay but Value is what you get) นักลงทุนลองคิดดูให้ดีๆ ว่าตนเองกำลังลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นจริง ๆ หรือไม่
ขอบคุณข้อมูล : SET, SETSMART, หนังสือคลินิกหุ้นมือใหม่ (โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม)
คอร์สปูพื้นฐานการลงทุน แบบเข้มข้นสำหรับมือใหม่
หรือ คนที่เล่นหุ้นมาสักพักแต่ยั
"สอนกันสดๆ !! Workshop กับตลาดจริง ตัวอย่างจริง"
โดย คุณแพ้ท ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
+ เรียนทั้งหมด 2 วันเต็ม (การันตีความเข้าใจง่าย!!)
ปูพื้นฐาน ตั้งแต่ Mindset วิธีคิดการลงทุนที่ถูกต้อง.
เริ่มจาก..
+ การอ่านงบการเงิน (Fundamental Analysis) เรียนได้ไม่ต้องรู้บัญชี แกะงบเพื่อหาหุ้นถูกแพง เลือกลงทุนสั้นหรือยาวให้เห
+ สอนอ่านกราฟหุ้นตั้งแต่พื้น
วันที่หนึ่งจะสอนพื้นฐานและ
วันที่สอง จะเรียนการใช้กราฟ และ workshop แกะงบบริษัท พร้อมดูรอบหุ้นไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเอาค
ปรับใช้ได้จริงในการลงทุนตา
คอร์ส 'มือใหม่เข้าใจหุ้น by ภาววิทย์'
วันเสาร์ - อาทิตย์ที่ 10 - 11 ธันวาคม นี้
ที่ stock2morrow @ Silom Complex ชั้น19
ดูรายละเอียด คลิก..จองได้ที่ https://goo.gl/rs11sL