BAMจ่อแตกไลน์ธุรกิจใหม่ ดึงพันธมิตร ร่วมทุนรับซื้อหนี้-รุกอสังหาฯ
“บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์” เตรียมแผนแตกไลน์ธุรกิจใหม่ ชูโมเดลจับมือพันธมิตรตั้งบริษัทร่วมทุน หวังสยายปีกธุรกิจโบรกเกอร์-บริหารหนี้เสีย พร้อมดอดเจรจาผู้ประกอบการอสังหาฯ-แบงก์ร่วมพัฒนาโครงการอสังหาฯและรองรับซื้อหนี้เสียที่จะทยอยออกมาเพิ่มขึ้น
วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 แม้จะเป็นโอกาสของธุรกิจ “บริหารสินทรัพย์” หรือ “AMC” แต่ด้วยจำนวนผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดมีผู้เล่นในตลาดรวมกว่า 66 บริษัท ทำให้ตลาดนี้มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็น “Red Ocean” ในอนาคต ส่งผลให้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เจ้าตลาดในธุรกิจ AMC ต้องเริ่มหาทางเลือกอื่นในการขยายธุรกิจเพิ่มเติม
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานคณะกรรมการบริหาร BAM กล่าวว่า บริษัทมีแนวคิดที่จะแตกไลน์ธุรกิจใหม่ๆ จากธุรกิจเดิมที่เน้นบริหารหนี้เสียและการขายสินทรัพย์ NPA ที่ปรับปรุงแล้วหรือพัฒนาเป็นที่ดินเพื่อการเกษตร เพราะปัจจุบันธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) มีผู้เล่นเข้ามากว่า 66 รายแล้ว และเชื่อว่าจะกลายเป็น Red Ocean ในอนาคต เนื่องจากทุกคนเห็นต้นแบบของบริษัทที่สามารถทำกำไรและนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ได้ จึงให้กระโดดเข้ามาทำธุรกิจนี้กันมาก
บริษัทมีแผนที่จะไปหา Blue Ocean หรือการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งต้องไปในจุดที่บริษัทมีประสบการณ์ เช่น การประเมินราคา,การตีราคาทรัพย์ และความเชี่ยวชาญในการขาย อาทิ การไปเป็นโบรกเกอร์หรือรับรู้รายได้จากค่าฟี รวมถึงการกระจายการลงทุนออกไปในภูมิภาค (CLMV) ที่ยังไม่มีธุรกิจ AMC ในการเข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตร
“พวกนี้อยู่ในแผนงานธุรกิจในช่วง 5 ข้างหน้า (ปี 2563-2567) โดยคาดว่าจะเริ่มการดำเนินการชัดเจนได้ตั้งแต่ช่วงปี 2564 ซึ่งการวางกลยุทธ์ธุรกิจในครั้งนี้เพื่อตั้งไลน์ธุรกิจเตรียมรับวันข้างหน้า โดยอาจแบ่งโครงสร้างธุรกิจธุรกิจเดิมสัดส่วน 80% และธุรกิจใหม่ 20%”
ส่วนธุรกิจภายในประเทศ อาจมีการแตกไลน์ธุรกิจไปร่วมลงทุนกับพันธมิตร (JV) ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับทั้งธนาคาร (แบงก์) หรือบริษัทอสังหาฯแทนการซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นแผนงานที่จะนำบริษัทไปสู่อีกธุรกิจหนึ่งที่เกี่ยวโยงกับธุรกิจเดิมที่ถนัดหรือเคยทำ ทั้งนี้ในส่วนของด้านธุรกิจโบรกเกอร์ยังมีข้อจำกัดที่กฎหมายยังไม่เปิดช่องให้บริษัททำได้ แต่ก็อาจมีวิธีที่สามารถทำได้โดยใช้วิธีตั้งบริษัทลูกหรือบริษัทร่วมทุนขึ้นมาเป็นผู้ดำเนินการแทน
สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะเริ่มได้ก่อนนั้น มองว่าทั้งธุรกิจโบรกเกอร์และการไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งการทำ JV นั้นทำได้ถึง 2 ด้าน 1.อาจมีการไปจับมือกับบริษัทอสังหาฯให้มาร่วมกันพัฒนาโครงการ เพราะบริษัทก็มีที่เปล่าจำนวนมากอยู่แล้วและบริษัทอสังหาฯเองก็ไม่อยากแบกภาระไปซื้อที่ดิน ซึ่งก็มาร่วมกันพัฒนาและตั้งบริษัทร่วมทุนกันขึ้นมาเมื่อมีกำไรก็แบ่งปันผลตอบแทนร่วมกันหรืออาจเสร็จแล้วอาจเอาไปจัดตั้งกองรีทก็ได้คนละครึ่ง
2.อาจจับมือกับคนขายหนี้เสียหรือแบงก์ในการร่วมทุนกันเพื่อช่วยกันบริหารจัดการหนี้เสีย ซึ่งหากแบงก์ไหนไม่มีการ JV ร่วมกันในส่วนของบริษัท BAM ก็จะเป็นผู้รับซื้อไป แต่ก็ต้องออกแบบการร่วมลงทุนให้วินวินทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจเปิดช่องให้ถือหุ้นได้สัดส่วนคนละ 49% เพื่อไม่เป็นภาระถูกบันทึกลงในงบบริษัทแม่ และที่เหลือสัดส่วน 2% ให้คนกลางเป็นผู้ถือหุ้น
ส่วนวิธีการดำเนินงานแบงก์ก็ขายหนี้มาที่บริษัทร่วมทุนช่วยบริหารจัดการและหากมีกำไรก็นำมาแบ่งกัน ซึ่งถือว่าแบงก์ก็ได้ประโยชน์เพราะไม่ต้องแบกหนี้ไว้ ส่วน BAM ก็ได้ประโยชน์จากการที่ไม่ต้องจ่ายเงินประมูลหนี้มาก และ D/E ของบริษัทจะได้ไม่สูงและยังมีรูมประมูลซื้อหนี้เสียได้มากขึ้น
“การแตกไลน์ธุรกิจมาทำโบรกเกอร์อาจจะเห็นก่อน เพราะการตั้งประเมินมันอยู่ในมือเราอยู่แล้วเลยไม่น่าเป็นห่วง แต่แตกไลน์ธุรกิจโดย JV อาจต้องใช้เวลามาก เพราะความเห็นแต่ละฝ่ายยังไม่ค่อยตรงกัน แต่เชื่อว่าหากให้ตอบโจทย์ที่ดีการ JV จะทำให้เราเติบโตหรือได้พอร์ตที่ใหญ่ และสามารถขยายบุลคากรภายในองค์กรไปเติบโตในบริษัทลูกได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต”
นายบรรยง กล่าวต่อ ในส่วนของแผนธุรกิจปีนี้บริษัทได้ปรับเป้าเม็ดเงินการซื้อหนี้เสียเข้าพอร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อน จากเดิมที่ตั้งไว้ระดับ 7,000 ล้านบาท หรือโต 5-7% จากปีก่อน หลังจากปัจจุบันบริษัทมีการรับซื้อหนี้มาแล้วกว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเกินกว่าระดับที่ตั้งไว้แล้ว ขณะที่ปัจจุบันบริษัท (ณ 30 มิ.ย.63) มีมูลหนี้ NPL มูลค่ากว่า 481,705 ล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้ 94,346 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีหลักประกันกว่า 200,000 ล้านบาท และมี NPA มูลค่ารวมทั้งหมด 27,041 ล้านบาท
ขณะที่แผนการออกหุ้นกู้หลังบริษัทมีการขอมติวงเงินออกหุ้นกู้กับผู้ถือหุ้นประมาณ 25,000 ล้านบาทนั้น จะมีการทยอยออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งอายุการออกหุ้นกู้เราอยากได้ประมาณ 6-7 ปีเพื่อจะได้บารานภาระจ่ายหนี้ของบริษัท ประกอบกับบริษัทยังมีแผนระดมทุนในช่องทางอื่นๆด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพูดคุยการกู้เงินสกุลเงินบาทกับกลุ่มแบงก์ในต่างประเทศ ซึ่งเบื้องต้นมีข้อเสนออัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทที่อยู่ราว 3%
“เราจะใช้ส่วนที่จำเป็น ซึ่งหุ้นกู้อาจใช้ยาวหน่อยเพื่อให้ลดความเสี่ยงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าที่ตลาดเงินอาจผันผวน ขณะที่เงินกู้ระยะสั้นอาจมีต้นทุนที่ถูกกว่าก็สมดุลกันพอดี ซึ่งพอรวมกันต้นทุนการเงินของเราก็จะต่ำกว่า 3%"
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก