จับกลยุทธ์การลงทุนเดือนธ.ค.
คัด 9 หุ้นสุดปังจาก 4 ธีมเด่น
เข้าสู่โค้งท้ายการลงทุนปี 59 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลการลงทุนจากบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจประจำเดือนธ.ค.มานำเสนอนักลงทุน เพื่อให้เห็นทิศทางและปัจจัยที่น่าลงทุนชัดเจนมากขึ้น โดยครั้งนี้นำเสนอข้อมูลจากบทวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ซึ่งระบุดังนี้
แนวโน้มตลาดเดือนธ.ค.59 คาด Sideway-Sideway Up โดยประเด็นหลักที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุดคงหนีพ้นการประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ โดยในมุมมองของ Nomura คาด FED จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 25 bps สู่ระดับ 0.5-0.75% ซึ่งสอดคล้องกับ Bloomberg consensus ที่พบว่า FED funds futures ให้โอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบเดือน ธ.ค.นี้ ถึง 100%
จากคาดการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯ พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบปี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ Fund Flow ไหลออกจากเอเชียสู่สหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดส่วนใหญ่ในเอเชียปรับฐานครั้งใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดได้ตอบรับปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว สอดคล้องกับ Nomura ที่มองว่า ณ ระดับ Bond Yield สหรัฐฯ ในปัจจุบัน เข้าใกล้จุดขายทำกำไรที่คาดไว้ที่ระดับ 2.4%-2.5% แล้ว
ดังนั้นจึงมองว่า Downside ของตลาดเอเชียค่อนข้างจำกัด สะท้อนจากสัปดาห์ที่ผ่านมา MSCI Asia ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์แรกในรอบ 4 สัปดาห์ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทาง Fund Flow กลุ่ม EM-Asia ที่เริ่มเห็นแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่เบาบางลง และค่อยๆกลับมาเป็นยอดซื้อสุทธิ
ในมุมมองของ CNS คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED จะกดดันตลาด EM-Asia จำกัดเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อน SET หลักๆคาดจะมาจากประเด็นบวกในประเทศนำโดย
1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อาทิเช่น ช้อปช่วยชาติ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ เพิ่มแรงเก็งกำไรในกลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยว
2) เม็ดเงิน LTF ช่วงปลายปี คาดแรงซื้อ LTF เพื่อผลประโยชน์ทางภาษีจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยล่าสุดพบว่า 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.59-ก.ย.59) มียอดซื้อสุทธิ LTF รวมทั้งสิ้น 1.69 หมื่นล้านบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ย 9 เดือน ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่ 1.42 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ค่าเฉลี่ยสุทธิทั้งปี 3 ปีล่าสุด อยู่ที่ 4.74 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจากตัวเลข 9 เดือนที่ผ่านมาคิดเป็นเพียง 36% ของค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง บ่งชี้ว่าช่วงไตรมาส 4 เม็ดเงินจาก LTF มีโอกาสไหลเข้าพยุงตลาดหุ้นไทยอีกกว่า 3.05 หมื่นล้านบาท
ส่วนปัจจัยอื่นๆที่น่าติดตาม ได้แก่ 1) ECB Meeting 8 ธค. Nomura คาดอัตราดอกเบี้ยยังคงเดิม แต่ให้โอกาสที่จะขยายระยะเวลาในการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมอีก 6 เดือน 2) การคำนวณ SET50/100 รอบใหม่ ที่จะประกาศช่วงกลางเดือน ธ.ค.และมีผลวันที่ 1 ม.ค.60
กลยุทธ์ลงทุน:แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐช่วงโค้งสุดท้ายผสานเม็ดเงิน LTF ที่มักจะเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือน ธ.ค.ของทุกปี คาดหนุน SET แกว่ง Sideway-Sideway Up กรอบ ต้าน 1520/1537 จุด รับ 1480/1460 จุด แต่อย่างไรก็ตาม แรงขายลดเสี่ยงก่อนการทำประชามติ อิตาลี 4 ธ.ค. และก่อนการประชุม FED กลางเดือนธ.ค.อาจเป็นประเด็นกดดันสั้น
อีกทั้งปริมาณการซื้อขายในช่วงปลายเดือน ธ.ค. ที่มักจะเบาบางลงอาจเป็นอีกปัจจัยกดดันเพิ่มเติม ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยแนะทยอยปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นลง 20% สู่ระดับ 50% จากที่เคยแนะนำเพิ่มน้ำหนักมาช่วงดัชนีต่ำกว่า 1,380 จุด เพื่อกระชับพอร์ต หรืออาจติดตาม Equity Play of the day สำหรับจังหวะการลดน้ำหนัก เพื่อความยืดหยุ่นในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน
โดย Theme เด่นที่น่าสนใจในเดือนธ.ค.59 แนะนำได้แก่
1) หุ้นอิงอานิสงส์มาตรการรัฐ (ROBINS, HMPRO, BDMS, ERW, MINT)
2) Commodity Play (PTT, PTTEP, PTTGC, IVL, BRR, STPI)
3) กลุ่มที่คาดเข้า SET50/100 รอบใหม่พื้นฐานเด่น (GLOBAL, KKP, THAI, VIBHA)
4) หุ้นที่คาดผ่านจุดต่ำสุดแล้ว &แนวโน้ม Earning 2017 จะฟื้นตัวเด่น (BRR, PSTC, NYT, SALEE, ADVANC)
สำหรับ Portfolio Top picks DEC 2016 แนะนำ BRR, PSTC, STPI, ADVANC, ROBINS, NYT ส่วน DARK Horse CPALL, HMPRO, PTTEP
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก