เปิดโผ 5 ธนาคารชื่อดัง
ไตรมาส 2 กำไรเติบโตไม่หยุด !
.
หุ้นธนาคารเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นฮิตติดโผแนะนำการลงทุนของนักวิเคราะห์ เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวดี อิงกับเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงเป็นหุ้นกลุ่มแรกๆ ที่มักจะได้รับผลบวกจากเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้า วันนี้ Wealthy Thai จึงมี 5 หุ้นเด่นในกลุ่มธนาคารที่ผลงานไตรมาส 1/66 ดีกว่าคาด และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องมาฝาก
.
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่อย่าง KBANK, SCB, BBL, KTB และ TTB จากผลประกอบการไตรมาส 1/66 ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด และไตรมาส 2/66 มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ
.
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของหุ้นธนาคารแต่ละตัว โดย KBANK บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิจะเริ่มขยับขึ้น ตามจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ดีขึ้น ซึ่งปี 2566 บริษัทยังเน้นปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่และลูกหนี้รายย่อยเป็นหลัก คาดหนุนให้ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เริ่มทยอยปรับตัวขึ้น
.
ด้านการตั้งสำรองของปี 2566 มีโอกาสที่จะสูงกว่าประมาณการเดิมของฝ่ายวิเคราะห์ เนื่องจากบริษัทจะทยอยตั้ง Management Overlay เพื่อชดเชยส่วนที่ใช้เพื่อรองรับความเสียหายของลูกหนี้รายใหญ่ที่มีปัญหา (ตั้งสำรองไว้ 80-90% ของมูลค่าสูงสุดแล้ว) อีกทั้งตั้งสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต
.
โดยฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับ Credit Cost ขึ้นเป็น 1.8% จากเดิมที่ 1.6% ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2566 ลดลงเฉลี่ยปีละ 7.7% โดยภายใต้ประมาณการใหม่ คาด KBANK จะมีกำไรสุทธิปีนี้ที่ 44,296 ล้านบาท โต 23.8% จากปีก่อน คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 178 บาท
.
ส่วน SCB บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดไตรมาส 2/66 แนวโน้มการดำเนินงานจะเร่งตัวขึ้นทั้งจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากการทยอยปรับลดค่าใช้จ่ายตั้งสำรอง หลังผ่านการตั้งสำรองเพื่อรองรับความเสียหายจากลูกหนี้รายใหญ่ที่เกิดปัญหาแล้ว
.
ขณะที่ลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเริ่มมีสัญญาณการชำระหนี้ดีขึ้น ส่วน NIM มีแนวโน้มจะขยับขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่เหลือของปี หนุนจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ และการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อในกลุ่ม Consumer Finance ที่ให้ผลตอบแทนสูง
.
สำหรับครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนที่จะ Refinance ตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์มูลค่าราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ ที่เคยเสนอขายในช่วงปรับโครงสร้างธุรกิจมาเป็นตราสารหนี้สกุลเงินบาทที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำลง หนุนให้ทั้งปี 2566 คาด SCB จะมีกำไรสุทธิ 47,528 ล้านบาท โต 26.6% จากปีก่อน จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 144 บาท
.
ถัดมา BBL บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดแนวโน้มไตรมาส 2/66 จะเติบโตต่อทั้งจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า หนุนด้วยความต้องการสินเชื่อของบริษัทขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น NIM ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นตามการส่งผ่านต้นทุนดอกเบี้ยไปยังลูกค้า และการตั้งสำรองที่ชะลอตัวลง
.
ส่วนแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีคาดยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเน้นเติบโตในกลุ่มลูกค้าที่มีฐานะการเงินแข็งแรงทั้งในไทยและอาเซียน เพื่อคงจุดเด่นด้วยความแข็งแรงของคุณภาพสินเชื่อ ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคาดทั้งปี 2566 BBL จะมีกำไรสุทธิ 35,657 ล้านบาท โต 21.7% จากปีก่อน จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 190 บาท
.
KTB โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ธนาคารตั้งเป้าหมาย NIM ปีนี้ที่ระดับมากกว่า 2.8% ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่ามีโอกาสทําได้ดีกว่า หลัง NIM ไตรมาส 1/66 อยู่ที่ราว 3% ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย M-Rate ช่วงเดือนเม.ย. 66 เฉลี่ย 0.23% และหากกนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 29 พ.ค. นี้ จะสร้างโมเมนตัมต่อเนื่องให้กับ NIM ในไตรมาส 3/66
.
ขณะที่พัฒนาการของ NIM คาดผลักดันกําไรสุทธิในไตรมาส 2/66 ให้ขยายตัวทั้งจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ดังนั้นจึงแนะนํา Outperform ราคาเป้าหมาย 20.30 บาท จาก Coverage Ratio ที่สูงเป็นอันดับสองในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่
.
อีกทั้งกระแสข่าวการศึกษาค่าธรรมเนียมการทําธุรกรรมใช้เงินสดในกรณีที่เกิดขึ้น คาดบวกต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของ KTB ที่มีสัดส่วน CASA สูง และมีฐานลูกค้าต่างจังหวัดจํานวนมาก ด้าน Valuation น่าสนใจ และ Dividend Yield 4% ต่อปี
.
สุดท้าย TTB บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มไตรมาส 2/66 จะปรับขึ้นต่อทั้งจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากความต้องการสินเชื่อในกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เร่งตัวขึ้น ความนิยมของสินเชื่อกลุ่ม Cash Your Home และ Cash Your Car การขยายสินเชื่อในกลุ่ม Digital Loan และการทำ Cross Selling บนฐานลูกค้าสินเชื่อประเภทต่างๆ ส่วนการตั้งสำรองมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงและทรงตัวในระดับที่ต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันลูกหนี้เริ่มมีความสามารถในการชำระเงินคืนสูงขึ้น
.
ขณะที่ NIM คาดยังมีแนวโน้มปรับลง จากการขยับขึ้นของต้นทุนทางการเงินที่จะมีผลต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีสอดรับกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้จะทำได้ช้ากว่า เพราะพอร์ตสินเชื่อหลักของบริษัทเป็นดอกเบี้ยคงที่ ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคาดการณ์ว่าปี 2566 TTB จะมีกำไรสุทธิ 15,132 ล้านบาท โต 6.6% จากปีก่อน ด้านราคาหุ้นประเมิน Upside ค่อนข้างจำกัด จึงคงคำแนะนำเพียง “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 1.56 บาท
