กลุ่ม PTT ช้ำตลอดปี 65 กระทบราคาหุ้นร่วงยกกลุ่ม
ปี 2565 ไม่ใช่ปีที่สดใส และหนุนธุรกิจในกลุ่มยักษ์ใหญ่พลังงาน ปตท. อย่างชัดเจน จากปัจจัยลบที่กระทบทั้งกลุ่ม ไล่มาตั้งแต่ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจโรงกลั่น ธุรกิจปั๊มน้ำมัน และธุรกิจก๊าซ จนทำให้ราคาหุ้นแม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT สาละวันเตี้ยลงต่อเนื่อง
จากปลายปี 2564 ราคาปิดที่ 38 บาท ปัจจุบันราคาหุ้นลงมาต่ำสุดตั้งแต่มีการประกาศแตกพาร์ที่ 58 บาท โดยราคาหุ้นปิด (19 ธ.ค.) ที่ 31.25 บาท เป็นการลดลงเมื่อเทียบกับปลายปีก่อน 17.76% และยังเป็นการลดลงถึง 46.12% จากราคาที่มีการแตกพาร์
ด้วยปัจจัยความผันผวนของราคาน้ำมันตลอดทั้งปี 2565 ทำให้ช่วงต้นปีราคาน้ำมันขึ้นราคาสูงสุด 120 บาท จนทำให้กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ต่างได้รับผลดีไปถ้วนหน้า ถัดมากลุ่มโรงกลั่นที่แทบจะนับรายได้พุ่งสูงขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
ด้วยค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 1 และต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2 ค่าการกลั่นขึ้นไปแตะที่ 26.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ดีกว่าค่าเฉลี่ยเดือนเม.ย.65 ที่18.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
หากเปรียบเทียบกับค่าการกลั่นช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ขยับขึ้นเฉลี่ย ที่ 6.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1 ปี 2565 ค่าการกลั่นเฉลี่ย 8.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนถึง 358 % !!!
สถานการณ์เป็นผลบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น ทั้งบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP , บริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC
ด้วยสถานการณ์ “เงินเฟ้อ” มาจากราคาพลังงานกดดันทำให้รัฐบาลต้องหาทางนำเงินมาช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ทำให้ด่านแรกคือ ต้องตรึงน้ำมันดีเซลเอาไว้ที่ 40 บาทต่อลิตร และนำเงินกองทุนน้ำมันมาช่วย ซึ่งทำให้ธุรกิจปั๊มน้ำมัน แบกรับต้นทุนขายขึ้นไปแล้วแต่ขยับราคาขายไม่ได้ อย่าง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR
เช่นเดียวกับธุรกิจไฟฟ้า บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เจอต้นทุนค่าก๊าซเพิ่มขึ้นไม่แพ้กัน จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 78.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เดือนก.พ.65 อยู่ที่ 92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 17% เป็นการทำราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี และราคาก๊าซธรรมชาติจากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 4.46 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ปัจจุบันอยู่ที่ 4.45 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
ท่ามกลางมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้าไม่สามารถปรับราคาขายไฟให้ทันกับต้นทุนอย่างราคาก๊าซ ราคาถ่านหิน ที่ขึ้นทำนิวไฮต้นปี 2565 ได้เลย ขณะที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้เงินกองทุนน้ำมันไม่เพียงจนตัวเลขติดลบ
และนำไปสู่การ “ รีด” เงินจากรายได้ที่อู้ฟู่ของกลุ่มโรงกลั่น จนเป็นที่มารัฐบาลขอความร่วมมือให้โรงกลั่นน้ำมันนำส่งค่าการกลั่นส่วนเกินจากอัตราปกติเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยนำมาอุดหนุนราคาน้ำมันภายในประเทศเป็นเวลา 3 เดือน (ก.ค.- ก.ย.65) เพื่ออุดหนุนน้ำมันดีเซล 5-6 พันล้านบาท/เดือน น้ำมันเบนซิน 1 พันล้านบาท/เดือน สุดท้ายกลายเป็นแค่กลุ่มโรงกลั่น PTT ที่ยอมจ่ายเงินบริจาค เนื่องจากเป็นการแทรกแซงธุรกิจที่ไม่มีกฎหมายรองรับ
ปัจจุบันค่าการกลั่นปรับตัวลดลงอยู่ที่ 2.68 ดอลลาร์ หรือ 3.5% ปิดที่ 74.25 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค.2564 หรือต่ำสุดในรอบ 1 ปี เทียบกับไตรมาส 3/ 2565 ที่ราคาน้ำมัน WTI ปิดที่ 79 ดอลลาร์/บาร์เรล จึงทำให้คาดว่าโรงกลั่นจะมีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันได้ในไตรมาส 4/2565 ทำให้กลุ่มโรงกลั่นเจอผลกระทบหนักทั้งราคาขาขึ้น และราคาขาลง
ปัจจัยลบกระทบราคาหุ้นยังไม่หมดเมื่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กกพ.) มติขอความร่วมมือ PTT จัดสรรรายได้จากธุรกิจโรงแยกก๊าซ 1,500 ล้านบาท เป็นเวลา 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.66)รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนลดต้นทุนค่าไฟฟ้า
ล่าสุดยังมีประเด็นกองทุน Norway sovereign wealth fund จะถอนจากการลงทุน
ใน PTT และ OR เนื่องจากความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับเมียนมาจนทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นอีกระลอก