ห้องเม่าปีกเหล็ก

เมื่อกำไรจากอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมาถึงทางตัน ค่ายมือถือควรไปต่ออย่างไรเพื่อพลิกโฉมธุรกิจจากเดิม?

โดย sine2528
เผยแพร่ :
60 views

          จากวิกฤติโควิด-19 และการการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้สภาพการณ์และทิศทางของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมาถึงทางตัน จากข้อมูลสถิติจำนวนผู้ใช้งานนับตามหมายเลข พบว่ามีอัตราการเติบโตที่ลดลงจากเดิม อีกทั้งค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายต่อหมายเลขก็ลดลงตามไปด้วย สวนทางกับสัดส่วน ปริมาณการใช้ Data ผ่านมือถือที่เพิ่มขึ้นมาก  

นักวิเคราะห์ตลาดโทรคมนาคม เคยประเมิณถึงทิศทางอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทยไว้ว่า

"หากไม่มีการปรับทิศทางอุตสาหกรรม ต่อไป โอเปอร์เรเตอร์หรือผู้ประกอบการเครือข่ายมือถือนำเงินจำนวนนี้ไปฝากธนาคารอาจได้ผลตอบแทนที่ไม่ต่างไปจากการนำมาดำเนินธุรกิจมือถือก็เป็นได้ 

เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว อีกทั้งภาระต้นทุนของผู้ประกอบการที่ต้องลงทุนโครงข่าย ทั้งค่าใบอนุญาต เสาสัญญานและอุปกรณ์เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่อีกหลายแสนล้านบาท ทำให้ผู้เล่นหลายรายในอุตสาหกรรมมีภาระดอกเบี้ยและการลงทุนอย่างต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในบางประเทศ พบว่ามีการควบรวมค่ายกันเพื่อให้มีจำนวนที่เหมาะสม เนื่องจากภาระต้นทุนของเล่นที่จะเข้ามายืนหยัดในตลาดนี้ได้ต้องเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายประเทศจะเหลือผู้ประกอบการโอเปอร์เรเตอร์เพียงไม่กี่รายอยู่ในตลาด  รัฐบาลมักมุ่งหวังให้อุตสาหกรรมมือถือสร้างรายได้เข้ารัฐและมุ่งหวังให้มีการแข่งขันเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค

แต่ในขณะเดียวกันใบอนุญาตค่าคลื่นความถี่ของประเทศไทยกลับติดอันดับแพงที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ที่สวนทางกัน จะดีหรือไม่ หากรัฐบาลควรปรับมุมมองที่มีต่อภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคมว่าาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล มิใช่เป็นตัวสร้างรายได้มหาศาลโดยตรง 

ในอดีตอุตสาหกรรมโทรคมนาคม มีความเชื่อมั่นจากหลายฝ่ายว่าจะสามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับโอเปอร์เรเตอร์ถึงกับเคยมีคำกล่าวว่าเป็น “ธุรกิจที่สร้างเงินได้จากอากาศ” เพราะผู้คนต้องใช้มือถือในชีวิตประจำวันไม่ต่างจากสาธรณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ที่ขาดไม่ได้ และคาดหวังว่า เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนจากการโทรคุยกัน มาเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ ค่ายมือถือจะมีผู้ใช้งานหลายพันล้านคน และจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากมาย อีกทั้งสิทธิ์ในการครอบครองคลื่นความถี่ ทำให้ผู้เล่นอื่นไม่สามารถมาช่วงชิงตลาดได้โดยง่าย

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การมาถึงของเทคโนโลยี 3-5G ทำให้โอเปอร์เรเตอร์จัดเก็บรายได้ๆน้อยลง สวนทางกับผลสำรวจจากรายงาน Digital 2022 Global Overview ของเดือน ม.ค. 2565 ที่พบว่า ประเทศไทยมีอัตราส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตต่อประชากรทั้งหมดอยู่ที่ 77.8% ติดอันดับที่ 34 ของโลก และใช้เวลาในการเล่นอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยสูงถึง 9 ชั่วโมง 06 นาทีต่อวัน ติดอันดับที่ 7 ของโลก แต่เหตุใดโอเปอร์เตอร์จึงจัดเก็บรายได้ๆลดลงทุกปี 

ด้วยพฤติกรรมของผู้คนและเทคโนโลยีที่เดินไปข้างหน้า จากอดีตที่ผู้คนนิยมส่ง SMS  ก็เปลี่ยนผ่านสู่การส่งข้อความผ่าน Line Wechat Facebook Msg. เป็นต้น ซึ่งบริการเหล่านี้ถูกคิดรวมอยู่แล้วในค่าบริการเหมาจ่ายตามแพ็คเกจรายเดือน อีกทั้งการเข้ามาถึงของเหล่าผู้ให้บริการ OTT จากต่างชาติ ที่รุกคืบเข้ามาดิสปรับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยให้บริการอยู่บนโครงข่ายของผู้ประกอบการโอเปอร์เรเตอร์ไทย ที่ไม่ต้องมีต้นทุนใบอนุญาตต่างๆ และไม่ถูกควบคุมด้วยกฏหมายของ กสทช. ดังเช่นที่โอเปอร์เรเตอร์ค่ายมือถือถูกกำกับอยู่

 

แต่เมื่อครั้นที่โอเปอร์เรเตอร์ไทยจะปรับตัว ปลดล๊อค สู่ เทค-คอมพานี” (Tech company) อย่างเช่นดีลการควบรวมกิจการระหว่าง ทรูและดีแทค กลับถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ผู้เล่นในตลาดน้อยลง และจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ลดลง ส่งผลถึงค่าบริการที่สูงขึ้น  

แต่หากเราจะดูจากสถิติย้อนหลังการจัดเก็บรายได้ของผู้ประกอบการโทรคมนาคมข้างต้น มีความเป็นไปได้น้อยมากที่ค่าบริการจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้น อย่าลืมว่าประเทศไทยมีหน่วยงานอย่าง กสทช.คอยควบคุมเพดานราคาของโอเปอเรเตอร์ทุกรายอยู่แล้ว โดยทุกค่ายจะต้องเสนอรายงานเรทค่าบริการและรายการส่งเสริมการขายให้ทาง กสทช.เพื่อรับทราบเป็นประจำทุกเดือน คงไม่มีผู้ให้บริการรายได้ฝ่าฝืนขึ้นค่าบริการตามใจชอบได้อย่างแน่นอน

ความพยายามปรับตัวของผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ 2 เจ้าอย่างทรูและดีแทค แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการปรับตัวเพื่ออยู่รอดในธุรกิจใหม่ เพราะอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเดิมมาถึงทางตัน และเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สู่ผู้บริโภคในการเข้าถึงบริการ Content รูปแบบใหม่ๆ และการสร้างรายได้ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานในปัจจุบัน

หากไม่มีการปรับรูปแบบธุรกิจ ก็เป็นไปได้ว่าจะต้องมีผู้ให้บริการบางรายที่ไปต่อไม่ไหว เพราะอุตสาหกรรมเดินมาถึงทางตัน การปรับตัวเพื่อขยายตัวเองสู่ธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ใหม่ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้


sine2528