ตลาดหุ้นฮ่องกงปี 2565 น่าจะเป็นอีกปีที่ให้ผลตอบแทน "ไม่ดี" เท่าไรนัก
สาเหตุเพราะยังมีความกังวลเรื่องการควบคุมที่เข้มข้นจากทางรัฐบาลจีน
โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี -18%
แต่ถ้าใครถือมา 1 ปี จะขาดทุนหนักถึง -34% ... เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดหมีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถามว่าทำไมตลาดหุ้นฮ่องกงถึงร่วงแรง .. ?
ปี 2564 ที่ผ่านมา ฮ่องกงถือเป็นตลาดหุ้นแรกๆที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกจากประเด็นเรื่องโควิดตั้งแต่ต้นปี 2563 มาจนถึงกลางปี 2564
หลังจากนั้นมีเรื่องของการควบคุมทางการจีน หุ้นฮ่องกงก็เริ่มปรับฐานตามมาจนกระทั่งปลายปีมีประเด็นเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande แต่ประเด็นนี้มาๆหายๆ พอหุ้นขึ้นคนก็คลายกังวล พอหุ้นลงก็กลับมากังวลใหม่อีกครั้ง เหมือนว่าไม่ได้กังวลจริงๆเพียงแต่เป็นเหตุผลอธิบายของนักวิเคราะห์ว่าทำไมหุ้นถึงลง
แต่พอเข้าสู่ปี 2565 ประเด็นเรื่องของการควบคุมของรัฐบาลจีนก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ การคุ้มเข้มยังไม่จบ ปัจจัยลบใหม่ก็เพิ่มเข้ามา
อย่างล่าสุด ดัชนีหุ้น Nasdaq Golden DragonChina ร่วงไปกว่า 10% หลังทาง SEC ของสหรัฐเผยรายชื่อบริษัทจีน 5 บริษัท เข้าข่ายถูกเพิกถอนออกจากตลาดสาเหตุ เพราะบริษัทไม่เปิดเผยข้อมูลผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปีให้กับทางการสหรัฐ ซึ่งจะต้องส่งภายในวันที่ 29 มีนาคมนี้เท่านั้น
... ซึ่ง 5 บริษัทดังกล่าวประกอบไปด้วย
Yum China (YUMC US, 9987 HK)
BeiGene (BGNE US, 6160 HK)
Zai Lab (ZLAB US, 9688 HK)
ACM Research (ACMR US)
และ HutchMed (HCM US, 0013 HK)
จากประเด็นนี้ไม่ได้ทำให้หุ้นจีนที่ลิสต์ในฝั่งสหรัฐอย่างเดียว ยังกระทบกระเทือนมายังตลาดหุ้นฮ่องกงอีกด้วย โดยดัชนี Hang Seng Tech ฝั่งฮ่องกงปรับตัวลง 4.2% กดดันให้หุ้นเช่น Alibaba ลดลง -16% และ JD.com ลงไปกว่า -30% ภายในวันเดียว
ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ตลาดวอลสตรีทคาดว่าหลายบริษัท Tech จีน อาจจะต้องย้ายกลับไปลิสต์ในฮ่องกง หรือไม่ก็จีนแผ่นดินใหญ่ หรือบางบริษัทอาจจะต้องทำ "Secondary Listing" คือ จดทะเบียนทั้ง 2 ตลาด คือทางฝั่งอเมริกา และทางฝั่งฮ่องกง
เช่น บริษัทผู้ผลิตรถ EV อย่าง Nio ในตอนแรกระดมทุนผ่านตลาดหุ้นอเมริกา
และก็มีการจดทะเบียนในตลาดที่ 2 คือตลาดหุ้นฮ่องกงตามมา
... ซึ่งเปิดเทรดวันแรกทำหุ้นร่วงไปกว่า -8% ตาม Sentiment เชิงลบของตลาดหุ้นฮ่องกงในช่วงนี้
จริงๆประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยเกิดก่อนหน้านี้แล้วหลายบริษัท เช่น China Mobile หรือแม้แต่ Alibaba เองก็ทำ Secondary Listing ด้วยเหมือนกัน
แต่ที่น่าสนใจคือประเด็นของ DidiChuxing ซึ่งตอนแรกเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกาท่ามกลางการไม่เห็นด้วยของรัฐบาลจีน มีปัญหากับทางการมาโดยตลอด หุ้นก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ โดย YTD -66% ถ้านับจากวันแรกที่เข้าตลาดก็ -88% จากราคาราวๆ 15 เหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 1.90 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
... สุดท้ายทางบริษัทก็เลยยอมกลับมาจดทะเบียนในตลาดฮ่องกง แต่ดูเหมือนจะโชคร้ายเจอการสั่งห้ามของทางรัฐบาลอีก เพราะทางการจีนแสดงความเห็นว่าบริษัทยังไม่ได้ปฏิบัติตามเกณฑ์อย่างครบถ้วนในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
ประเด็นนี้ทำให้หุ้น DIDI ในอเมริกา ร่วงวันเดียวหนักถึง -44%
นี้ก็เป็นเรื่องราวสรุปที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นฮ่องกงว่าทำไมถึงร่วงแรง
โดยหลักแล้วจะเป็นเรื่องของการควบคุมที่เข้มข้นของทางการจีนด้วย
และที่สำคัญ คือ ความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นฮ่องกงที่แย่อยู่แล้วก็โดนซ้ำเติมตาม Sentiment หุ้นโลกไปด้วยนั่นเอง
ตอนนี้ตลาดหุ้นฮ่องกง -18% YTD เป็นโอกาสหรือความเสี่ยงก็มีแต่ตัวนักลงทุนที่จะตอบได้แล้วครับ ...