ห้องเม่าปีกเหล็ก

3 สุดยอดนักลงทุนระดับตํานานของโลก

โดย กองแก้ว
เผยแพร่ :
414 views

สุดยอดนักลงทุนระดับตํานานของโลกมีอยู่ 3 คน :

อันดับหนึ่งคือ

Satoshi Nakamoto

อันดับสองคือ Warren Buffett

และ

อันดับสามคือ Jim Rogers

 

การลงทุนของ Satoshi Nakamoto ( อันดับหนึ่ง) :


เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า Satoshi Nakamoto สร้างระบบ Blockchain ขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 2008 และให้กําเนิด Bitcoin เมื่อวันที่ 3 มกราคมปี ค.ศ. 2009 พร้อมกับ Whitepaper จํานวน 5 หน้ากระดาษ

ในปี ค.ศ. 2010 Satoshi Nakamoto ได้หายตัวไปพร้อมกับ Bitcoin จํานวน 1 ล้านเหรียญ


ราคา Bitcoin เมื่อเดือนตุลาคมปี ค.ศ.2009 = 0.0007639419 USD แล้วปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 68, 789.63 USD เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.

2021 และปรับต้วลงมาอยู่ที่ 21,945.28 USD ณ.เวลา 14:40 นาฬิกา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2022

 

เพราะฉะนั้น ผลตอบแทนเป็นดังนี้คือ :


1) ผลตอบแทน = ( 68,789.63 - 0.0007639419 ) / 0.0007639419 × 100 = 9,004,562,943.34 % ภายในระยะเวลา 12 ปี ( 2009 -2021) หรือ 750,380,245.28 % ต่อ

ปี ที่ All Time High


2) ผลตอบแทน = ( 21,945.28 - 0.0007639419 ) / 0.0007639419 × 100 = 2,872,637,203.96 % ภายในระยะเวลา 13 ปี ( 2009 - 2022 ) หรือ 220,972,092.61 % ต่อ ปี ณ.เวลา 14:40 นาฬิกา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2022

 

ซึ่งเป็นผลตอบแทนต่อการลงทุนที่สูงที่สุดในโลก


Satoshi Nakakoto จึงถือว่าเป็นสุดยอดนักลงทุนระดับตํานานอันดับหนึ่งของโลก

 

การลงทุนของ Warren Buffett ( อันดับสอง ) :


Warren Buffett เริ่มลงทุนโดยการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยทางเทคนิค ( Technical Analysis ) เป็นหลัก แต่หลังจากที่ได้มาพบกับ Benjamin Graham แล้วก็เปลี่ยนแนวการลงทุนมาเป็น " Value Investment " ตามแนวทางของ Benjamin Graham


คําว่า " Value Investment " หมายถึงการซื้อหุ้นให้มีราคาถูกคือมีค่า P/E และ P/B Ratio ที่ต่ำ และ Devidend Yield ที่สูง ซึ่งเกิดจากการที่ตลาดหุ้นตกตําลงมามากๆเช่น เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นต้น


Warren Buffett ซื้อหุ้น Washington Post ตามหลักการนี้เมื่อเกิดวิกฤตการณ์พลังงานครั้งที่หนึ่งในปี ค.ศ. 1973 ทําให้ตลาดหุ้นตกตําลงมามากๆ Warren Buffett ซื้อหุ้น Washington Post ด้วยมูลค่า 11 ล้าน USD แล้วหุ้น Washington Post ก็ได้ปรับตัวขึ้นมาเป็น 1.5 พันล้าน USD ( 136.36 เท่า ) ในปี ค.ศ. 2007

 

ต่อมา Warren Buffett ใด้พบกับ Phillip M. Fisher ผู้มีแนวทางการลงทุนแบบ " Growth Investment " ซึ่งได้แก่ หุ้น Hewlett-Packard และ Motorola เป็นต้น ในสมัยนั้น



Warren Buffett จึงให้ความสำคัญกับการลงทุนใน " Growth Stocks " มากกว่า " Value Stocks " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



Warren Buffett เข้าซื้อหุ้น Coca-Cola ในวิกฤตวันจันทร์ทมิฬ ( Black Monday ) ในปี ค.ศ.1987 ด้วยมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ หลังจากนั้นหุ้น Coca-Cola ก็ปรับตัวขึ้นมามีมูลค่า 8 พันล้าน USD ( 8 เท่า ) ในปี ค.ศ. 2007


ปี ค.ศ. 2016 - 2018 Warren Buffett เข้าซื้อ Apple Inc. ด้วยหลักการ " Growth Investment " โดยไม่สนใจหลักการ " Value Investment " เลยแม้แต่น้อย



ราคาเฉลี่ยของหุ้น Apple Inc. ที่ Warren Buffett ซื้อมาอยู่ที่ 40 USD ต่อหุ้น และราคาปัจจุบันของหุ้น Apple Inc. อยู่ที่ 162.51 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.06 เท่า



ปัจจุบัน Berkshire Hathaway ซึ่ง Warren Buffett เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด และเป็นผู้บริหารสูงสุดถือหุ้น Apple Inc. อยู่ใน Portfolio คิดเป็นสัดส่วน 42.79% และ Coca - Cola คิดเป็นสัดส่วน 6.82%



ผลตอบแทนต่อการลงทุนของ Warren Buffett วัดได้จากหุ้น Berkshire Hathaway อยู่ที่ 19 USD ต่อหุ้นเมื่อปี ค.ศ. 1965 แล้วปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 432,440 USD ต่อหุ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมปี ค.ศ. 2022 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น ( 432,440 - 19 ) / 19 × 100 = 2,275,900 % ภายในระยะเวลา 57 ปี ( 1965 - 2022 ) หรือ 39,928.07 % ต่อ ปี



Warren Buffett จึงถือว่าเป็นสุดยอดนักลงทุนระดับตํานานอันดับสองของโลก



หมายเหตุ : 1) สไตล์การลงทุนของ  Satoshi Nakamoto และ Warren Buffett เป็นการถือลงทุนในระยะยาว


2) ผลตอบแทน Risk Free Rate หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 2.8% ซึ่งเป็นผลตอบแทนอ้างอิงในการลงทุน



3) ที่มาจาก " The Tao of Warren Buffett

 

การลงทุนของ Jim Rogers ( อันดับสาม ) :

 

สไตล์การลงทุนของ Jim Rogers เป็นการจับอารมภ์ของตลาดในระยะกลางถึงยาว ( ไม่ไช่เทรดเดอร์รายวัน - ผู้โพสต์ ) โดยสังเกตุได้จากการที่ Jim Rogers ได้บรรยายไว้ในหนังสือ Street Smarts ดังนี้ คือ : 

 

" ความสวยงามและความน่าตื่นเต้นของวอลสตรีทอยู่ที่สิ่งต่างๆมันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คุณจะต้องคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นให้ได้ มันเป็นงานที่ไม่มีวันจบสิ้น มันเหมือนกับการแก้ปัญหาสี่มิติซึ่งมีทั้งปริมาตรและเวลา แต่ละวันเมื่อคุณเข้างาน คุณจะพบว่าพวกเขาเดินหมากใส่คุณ มีบางคนตาย มีการนัดหยุดงาน สงคราม สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง สิ่งต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม การลงทุนมันไม่มีจังหวะเหมือนงานอื่นซึ่งทําให้มันทดสอบคุณอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน ถ้าคุณออกแบบรถยนต์มันจะมีระยะเวลาที่คุณคาดเดาได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาผลิตรถยนต์และขายช่วงนี้จะรู้ว่าตลาดจะรับหรือปฏิเสธมัน แต่อย่างน้อยโครงการดังกล่าวก็มีช่วงชีวิตของมัน แต่กับการลงทุนนั้นไม่มีอะไรที่หยุดนิ่งเลย และทําให้มันเป็นความท้าทายที่ต่อเนื่องและดําเนินไปโดยไม่มีวันจบ เป็นเกม หรือสงคราม ก็สุดแล้วแต่คุณจะเรียกมัน " 

 

ปี ค.ศ. 1970 Jim Rogers เข้าทำงานกับบริษัท อาร์โฮลด์ แอนด์ เอส ไบลค์โรเดอร์ โดยได้ทํางานร่วมกับ George Soros และปีนี้เป็นปีที่ Jim Rogers หมดตัวครั้งแรกในชีวิตโดยการขายชอร์ตหุ้นหกตัวโดยคาดว่ามันจะลง แต่มันกลับขึ้นถึงขั้นโดนบังคับขาย ( Force Sell ) ปี ค.ศ. 1973 ออกมาตั้ง Quantum Fund กับ George Soros โดย Quantum Fund เป็น Hedge Fund ที่เชี่ยวชาญในการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่ง Jim Rogersได้กล่าวไว้ในหนังสือ Street Smarts ว่า :

 " พวกเรา ( หมายถึง Jim Rogers และ George Soros ) ก่อตั้งควอนตัมฟันด์ขึ้นบนพื้นที่สํานักงานเล็กๆ เป็นเฮดจ์ฟันด์ที่เชี่ยวชาญในการลงทุนต่างประเทศสําหรับนักลงทุนต่างชาติซึ่งไม่ต้องเสียภาษีเพื่อความเท่าเทียมทางผลประโยชน์ บริษัทจดทะเบียนที่เนเธอร์แลนด์ แอนทิลีส เราซื้อขายชอร์ตในหุ้น โภคภัณฑ์ สกุลเงิน และพันธบัตรรัฐบาลในทุกที่ทั่วโลก เราลงทุนในที่ที่คนอื่นไม่ทํา แสวงหาประโยชน์จากตลาดที่ยังไม่มีใครเข้าใช้ประโยชน์ทั่วโลก ผมทํางานโดยไม่หยุด สร้างความชํานาญให้กับตัวเองในเรื่องการไหลของทุนโภคภัณฆ์ วัตถุดิบ และข้อมูลข่าวสารไปทั่วโลก George Soros เป็นเทรดเดอร์ที่เก่งมากและจับจังหวะตลาดได้อย่างยอดเยี่ยม มันเป็นเรื่องที่ผมไม่เก่งเลยและไม่สนใจมันด้วย ผมทํางานค้นคว้าเกือบทั้งหมด ผมสนใจพลิกหินขึ้นดูแล้วตามเงื่อนงําที่พบไป มันเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลและมันก็ตอบแทนคืนให้ผมเมื่อปี ค.ศ.1964 ตอนที่ผมจับพลัดจับผลูมาที่วอลสตรีทและพบกับงานที่ผมยินดีจะทําให้ฟรีๆถ้าผมมีทางอื่นที่จะเลี้ยงตัวเองได้ไปพร้อมกัน ผมตัดเงินเดือนผมลงอย่างมากเพื่อเริ่มธุรกจนี้ ผมตัดเงินเดือนตัวเองไปร้อยละ 75 แต่เงินไม่ไช่ประเด็นสําหรับผม ต่อไปนี้คือคําแนะนําที่ผมจะให้กับทุกคน เป็นคําแนะนําที่ผมจะให้กับลูกๆของผม ก่อนที่คุณจะถามว่าคุณจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ในการทํางาน อย่างแรกคุณต้องตัดสินใจก่อนว่าเป็นงานที่ใช่หรือเปล่า และนี่เป็นที่ที่ใช่หรือเปล่า เพราะถ้ามันเป็นที่ที่ใช่และคุณได้ทํางานในที่ใช่ เงินก็จะมาหาคุณเอง ผมยืนยันกับคุณ ได้เลยว่าเงินจะตามมาหาคุณและเงินควรจะเป็นเรื่องที่เล็กที่สุดสําหรับคุณ เราทําสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของคนทั่วไป เราขายชอร์ตกับหุ้นตัวใหญ่และหุ้นเติบโตที่พิจารณาแล้วมีเสถียรภาพสูงมากซึ่งรู้จักกันในชื่อ " ห้าสิบกินดิบ ( Nifty Fifty ) หุ้นบางตัวขายที่หนึ่งร้อยเท่าของกําไรหรือสองร้อยเท่าของกําไร ทุกธนาคาร ทุกกองทุนต่างซื้อหุ้นพวกนั้น เราขายชอร์ตเงินปอนด์ ในปี 1980 ทองคํากําลังขึ้นมาโดยตลอด เราก็ขายชอร์ตทองคํา ช่วงนั้นเป็นปีที่น่าตื่นเต้นและรุ่งเรืองของเรา เราได้กําไรทุกปีและนั่นเป็นปีของตลาดหมี ช่วงที่ทุกคนคิดว่าวอลลสตรีทเป็นปีที่เลวร้ายมาก ปี 1980 ตอนปลายศตวรรษที่ดัชนีเอสแอนด์พีห้าร้อยเพิ่มขึ้น 47% ซึ่งพอๆกับเงินที่เพิ่มขึ้นในบัญชีออมทรัพย์ของคุณแม่ของผมในธนาคาร พอร์ตโฟลิโอของควอนตัมฟันด์เพิ่มขึ้น 4,200 % ปี ค.ศ.1973 ควอนตัมฟันด์บริหารเงินเริ่มต้นที่ 12 ล้าน USD แล้วกลายมาเป็น 250 ล้าน USD ในปี ค.ศ. 1980 และควอนตัมฟันด์ถือว่าเป็น Global Fund กองแรกของโลก "

 

 ในปี ค.ศ. 1980 Jim Rogers เกษียนจาก Quantum Fund แล้วเดินทางโดยมอเตอร์ไซค์รอบโลก และได้เป็นศาสตราจารย์พิเศษสอนทางด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย 

 

ปี ค.ศ 1998 Jim Rogers ก่อตั้ง Rogers International Commodity Index ซึ่งเป็น Index ของสินค้า Commodity 

ปี 2005- 2006 Jim Rogers ขายชอร์ตหุ้นแฟนนีเม และทํากําไรได้อย่างมหาศาล เมื่อแฟนนีเมถึงกาลล้มละลายในเวลาต่อมาในวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี ค.ศ. 2008 

 

ปัจจุบัน Jim Rogers อาศัยอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์พร้อมภรรยาและลูกสาว 2 คน Jim Rogers ถือว่าเป็นสุดยอดนักลงทุนระดับตํานานอันดับสามของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินในปัจจุบันจํานวน 300 ล้าน USD 

 


กองแก้ว