SAT เครื่องยนต์ยังคงเดินอยู่
เราคาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 228 ลบ. ลดลง 9.6% YoY จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ลดลงตามการปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ย (ASP) เพียงครั้งเดียวที่ถูกบันทึกไว้ในไตรมาส 3/2565 ซึ่งส่งผลให้ GPM สูงผิดปกติ
เราคาดว่ากำไรจะปรับดีขึ้น 5% QoQ ตามรายได้ที่แข็งแกร่งขึ้นจากยอดการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นหลังช่วงโลว์ซีซั่นของการผลิตรถยนต์ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว เราคาดว่า GPM จะปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากการประหยัดต่อขนาดและค่าไฟฟ้าที่ลดลง ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ เราคาดว่ากำไรไตรมาส 4/2566 จะยังคงเติบโตทั้ง YoY และ QoQ
EV อาจเป็นปัจจัยลบ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 37,000 คันในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 โดยเพิ่มขึ้น 14 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตัวเลขนี้คิดเป็นประมาณ 8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ รถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวแทบจะไม่ผลิตในไทย โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากจีนและประเทศอื่นๆ หากมองไปข้างหน้า
เราเชื่อว่ายอดขาย EV จะเพิ่มขึ้น และแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ของไทยลดลงในระยะสั้นจนกว่าจะมีการสร้างโรงงานผลิต EV ในประเทศ ซึ่งเราคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
แต่ SAT กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน บริษัทฯ ตระหนักถึงกระแส EV ดังกล่าว จึงได้ตั้งบริษัทร่วมทุน (STRON) กับบริษัทไต้หวันในปี 2565 เพื่อดำเนินธุรกิจประกอบ EV บริษัทฯ กำลังขายรถยนต์ 3 ล้อไฟฟ้า (E-3 wheelers) และจะขยายการผลิตไปยังรถบัส EV รวมถึงการบรรจุแบตเตอรี่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราเชื่อว่าส่วนแบ่งรายได้ในปี 2567-68 อาจอยู่ที่ประมาณ 3-4% ซึ่งน่าจะช่วยหักล้าง downside risk ของยอดการผลิตรถยนต์ได้
อัตราตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจ SAT จ่ายเงินปันผลสูงมาตั้งแต่ปี 2561 โดยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยที่ประมาณ 66% เราเชื่อว่าบริษัทฯ จะยังคงทำเช่นนั้นต่อไป เนื่องจากจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ให้เห็นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และด้วยราคาหุ้นล่าสุดที่ลดลงประมาณ 14% YTD
บริษัทฯ ขณะนี้เสนออัตราตอบแทนเงินปันผลปีนี้ที่ 8.4% และอาจเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10% ในปี 2568 โดยอิงตามการคาดการณ์ของเรา ขณะเดียวกัน เราคาดว่ากำไรปกติของ SAT จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 7% ในช่วงปี 2566-68 ตามการฟื้นตัวของยอดขายชิ้นส่วนเครื่องจักรกลการเกษตรหลังจากที่ลดลงในปีนี้ รวมถึงค่าไฟฟ้าและวัตถุดิบที่ลดลง ซึ่งอาจช่วยหนุนให้ GPM เพิ่มขึ้นได้
คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายเดิมที่ 21.00 บาท เราคาดว่า CAGR ของกำไรในช่วงปี 2566-68 จะอยู่ที่ 7% และอัตราตอบแทนเงินปันผลน่าสนใจที่ 8%
