ห้องเม่าปีกเหล็ก

แบงก์รัฐจ่อนำ'หั่นดอกเบี้ย' มติ'กนง.'เซอร์ไพรส์ตลาดลด 0.25% - ห่วงเศรษฐกิจโตต่ำศักยภาพ

โดย Tunrawas
เผยแพร่ :
86 views

ในภาพอาจจะมี 1 คน

กนง.หั่นดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาด 0.25% หลังประเมินเศรษฐกิจไทยชะลอแรง ส่งผลการเติบโตส่อต่ำกว่าศักยภาพ ย้ำดอกเบี้ยที่ลดลง แค่ซื้อเวลา หากต้องการให้เศรษฐกิจโตยั่งยืน ต้องแก้ปัญหาที่โครงสร้าง ขณะ"แบงก์รัฐ" ส่อปรับดอกเบี้ยตาม ด้านเงินบาทไม่สะเทือน อ่อนค่าลงแค่เล็กน้อย ส่วนภาคเอกชน แห่ขอบคุณ กนง. ลดดอกเบี้ย ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วานนี้(7ส.ค.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ "ลด"ดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สวนการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่ 2 เสียงเสนอให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่เดิม ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงสู่ระดับ 1.5% จากเดิม 1.75% โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกรอบ 4 ปี 3 เดือน นับจากวันที่ 29 เม.ย.2558

ดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงสวน การคาดการณ์ของตลาด ส่งผลให้ค่าเงินบาทวานนี้ อ่อนค่าลงทันทีมาอยู่ที่ 30.90 บาทต่อดอลลาร์ จากช่วงก่อนหน้าเคลื่อนไหว ในระดับ 30.78 บาทต่อดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น เงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น และมาปิดตลาดที่ระดับ 30.82 บาทต่อดอลลาร์

เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพ

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วย ผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะเลขานุการ กนง. กล่าวว่า เหตุผลหลักที่ กนง. เสียงส่วนใหญ่ให้ลดดอกเบี้ย เพราะประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ และต่ำกว่าระดับศักยภาพ

ขณะที่การส่งออก มีแนวโน้มต่ำกว่า ที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 0% จากเศรษฐกิจคู่ค้าและปริมาณการค้าโลกชะลอลง ซึ่งเป็นผลจากการกีดกันการค้าที่รุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น เช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้าและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง

"ปัญหาการกีดกันการค้า แม้จะรับรู้ผลกระทบไปบ้างแล้ว แต่ผลกระทบมีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งยังมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ทำให้ระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงด้านต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น”

ดีมานด์ในประเทศชะลอ

นอกจากนี้อุปสงค์ในประเทศชะลอลง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน ที่ชะลอตัว ตามรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรและ การจ้างงานที่ลดลง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย โดย กนง. จะพิจารณาปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจใหม่ในการประชุมเดือนก.ย.

นายทิตนันทิ์ กล่าวว่า ด้านเสถียรภาพระบบการเงิน ยังเป็นสิ่งที่ กนง. ทุกคนให้ความเป็นห่วง เพราะเป็นปัจจัยที่อาจสร้างความเปราะบางต่อระบบการเงินในอนาคต จึงจำเป็นต้องติดตามการก่อหนี้ของครัวเรือน เพิ่มขึ้น การขยายสินทรัพย์ของสหกรณ์ ออมทรัพย์ การก่อหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร ดังนั้นการกำกับในอนาคต ยิ่งต้องใช้เครื่องมือมาตรการไมโครพลูเด็นเชียล และแมคโครพลูเด็นเชียลเพื่อดูแลเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่า ธปท.จะดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไร

"การพิจารณาการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการมุ่งเน้นพิจารณาจาก 3 ด้าน เงินเฟ้อ เสถียรภาพการเงิน และการขยายตัวเศรษฐกิจ แต่ย้ำว่า คณะกรรมการทุกท่านมีความกังวลเรื่องเสถียรภาพระบบการเงิน ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นปัจจัยที่มีความเชื่อมโยงกัน ดังนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย แต่อัตราแลกเปลี่ยนไม่ใช่เป้าหมายหลักในการตัดสินนโยบายการเงินครั้งนี้”

อย่างไรก็ตาม การที่คณะกรรมการ ส่วนใหญ่ มองว่า อัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายลง มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้บ้าง ในภาวะที่การดำเนินนโยบายการคลังยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการออกกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีข้อจำกัดการเบิกจ่ายที่ล่าช้า ดังนั้น การลดดอกเบี้ยเป็นการซื้อเวลา หรือมีผลระยะสั้นเท่านั้น แต่หากจะให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหา เชิงโครงสร้างหลายด้าน

นายทิตนันทิ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนอีก 2 เสียง ที่เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมองว่า การลดดอกเบี้ย อาจไม่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มได้มากนัก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากเสถียรภาพระบบการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งมองว่าควรเก็บความสามรถในการดำเนินนโยบายการเงิน(Policy space) ไว้ใช้ในยามจำเป็นดีกว่า เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

แบงก์รัฐจ่อลดดอกเบี้ยตาม

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ในฐานะประธานสมาคมแบงก์รัฐกล่าวว่า หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากนี้ไปทางสมาคมคงต้องหารือถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของแบงก์รัฐว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งคาดว่า จะมีการประชุมร่วมกันในเร็วๆ ซึ่งแนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของแบงก์รัฐคงจะต้องปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ ในส่วนของธอส.เอง ก็คงจะพิจารณาปรับลดลงเช่นกัน

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า ต้องติดตามการปรับดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากประจำ ของระบบธนาคารลดลง โดยเฉพาะ 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ตามการปรับดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งการปรับครั้งนี้อาจจะมาจากการขอความร่วมมือให้ลดดอกเบี้ยลดลงได้ เนื่องจากหากดูข้อมูลในอดีต เมื่อมิ.ย. ปี 59 และมิ.ย.ปี 60 พบว่า แม้กนง.ไม่มีมติลดดอกเบี้ย แต่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ มีการปรับดอกเบี้ยลง รอบละ 1 ครั้ง ดังนั้นหากดอกเบี้ยมีความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจเห็นการขอความร่วมมือ ให้มีการลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งในระยะ อันใกล้นี้ด้วย

เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอล มาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. แม้จะสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด แต่มีผลต่อ ค่าเงินบาทในวงจำกัด เพราะเงินบาทอ่อนค่า ลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยเงินบาทยัง แข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ส่วนหนึ่งจาก การที่เรามียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ค่อนข้างมาก

"การลดดอกเบี้ยเพื่อดูแล การส่งออกอาจ ทำได้ชั่วคราว ถือเป็นการพิสูจน์เครื่องมือดอกเบี้ยไม่มีประสิทธิผลนัก แต่เข้าใจว่า ธปท. เผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังรุนแรง ดังนั้นมองว่ามาตรการทางการคลัง ควรมาช่วยสนับสนุนไปพร้อมกับมาตรการทางการเงิน ที่กระสุนเริ่มตรึงตัว”

อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้ ยังคงมองเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-31บาทต่อดอลลาร์ และสิ้นปีนี้ยังแข็งค่าที่ระดับ 30.5 บาทต่อดอลลาร์

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยรอบนี้ อาจหยุดการแข็งค่าของเงินบาทได้ในระยะสั้น แต่ระยะยาวต้องระวังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง

"มองว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ตอบรับกับการลดดอกเบี้ยของเฟดในช่วงต้นเดือนได้ แต่ในระยะยาวต้องระวังว่าเฟดยังคงมี policy space มากกว่ากนง. ในระยะยาว ถ้าต้องการให้เงินบาทแข็งค่าช้าลงก็อาจต้องหามาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติมด้วย”

อย่างไรก็ยังคงมองเงินบาทปลายปีนี้ระดับเดิมที่ 30.25 บาทต่อดอลลาร์ และ แนวโน้มเงินบาทในไตรมาสนี้ยังคงอ่อนค่าได้จากตลาดการเงินที่ผันผวนแต่เงินบาทจะแข็งค่าต่อในช่วงปลายปี

"สุริยะ'ถกแบงก์ชาติ13ส.ค.นี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า วันที่ 13 ส.ค.นี้จะเดินทางไปพบผู้ว่าการธปท.เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางช่วยเหลือผู้ส่งออกที่เจอเงินบาทแข็งค่า ซึ่งทำให้ขีดความสามารถผู้ส่งออกไทยลดลง และจะทำให้ทราบถึงแนวทางช่วยเหลือที่ไม่ขัดกฎหมายหรือเป็นการแทรกแซงค่าเงินบาท เพราะที่ผ่านมาสหรัฐออกมาชี้ว่าจีนแทรกแซงค่าเงินหยวนแล้ว รวมทั้งธปท.เป็นหน่วยงานอิสระในการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศ

"เอกชน"เสนอ10มาตรการดูแลศก.

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการ สภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย กล่าวว่าวันนี้ (8 ส.ค.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะหารือกับธปท.ถึงแนวทาง การดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งจะเสนอมาตรการ 10 ข้อ ให้ ธปท.พิจารณาเพื่อดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งรวมทั้ง การใช้มาตรการทางการเงินด้วย

ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยเป็น 1 ในมาตรการที่จะเสนอ ธปท.และเมื่อลดดอกเบี้ยแล้วก็ต้องขอขอบคุณ กนง.ซึ่งการลดดอกเบี้ย 0.25%ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้นอีกทั้งช่วยเงินบาทให้อ่อนค่าลงและชะลอการไหลเข้าของเงินที่จะมาลงทุนระยะสั้น

นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยถือเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนเรียกร้องมานานแล้วท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% ถือเป็นเรื่องที่ดีตรงกับความต้องการของเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว การลดดอกเบี้ยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เงินบาทไม่แข็งค่ารวดเร็วและทำให้อ่อนค่าลงได้บ้าง

หวังดอกเบี้ยลดชะลอบาทแข็ง

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อภาคเอกชน เพราะจะช่วยลดและชะลอความเสียหาย และชะลอการแข็งค่าของเงินบาทลงได้อีก ทางหนึ่ง อีกทั้งมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจบางภาคส่วนได้จึงขอขอบคุณ กนง.

สำหรับทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวโน้มสงคราม การค้าที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ขณะนี้หลายประเทศมีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงไปแล้ว ซึ่งในที่สุดจะส่งผล ให้ค่าเงินบาทจะยิ่งแข็งค่าขึ้นไปกว่านี้อีกได้

นางสาวกัญญภัค ตันติพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า เห็นด้วยที่ กนง.ลดดอกเบี้ยงลง 0.25% ซึ่งเป็นข้อเสนอของ สรท.ที่เสนอต่อ ธปท.ก่อนหน้านี้ เพื่อให้ดอกเบี้ยเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และการลดดอกเบี้ยทำให้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่า ลงทันทีแม้ไม่มากและยังช่วยป้องกันเงิน ที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นในไทย

"ผู้ส่งออกดีใจที่ กนง.ลดดอกเบี้ย ซึ่งจะ กระตุ้นเศรษฐกิจได้แม้เป็นช่วงระยะสั้นก็ตาม แต่สิ่งที่อยากเห็นต่อไปคือการลดดอกเบี้ย เงินกู้ เพราะขณะนี้ดอกเบี้ยเงินกู้สูงทำให้ต้นทุนการประกอบธุรกิจสูงตามไปด้วย หากเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ก็ไม่มีปัญหา แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะมีปัญหา”

แบงก์ชาติอินเดียลดดอกเบี้ย

นอกจาก ธปท. ที่ลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ในวานนี้ ธนาคารกลางอินเดีย มีมติเป็นเอกฉันท์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอินเดีย(เอ็มพีซี) ได้ทบทวนนโยบายการเงินรายสองเดือนครั้งที่สาม และในการประชุมครั้งนี้ ธนาคารกลางอินเดียได้ปรับลดคาดการณ์ การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงในช่วงปี 2562-2563 ลงสู่ระดับ 6.9% จากระดับ 7%

เช่นเดียวกับ ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (โอซีอาร์) 0.50% สู่ระดับ 1.00% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมวานนี้ ซึ่งมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่า ธนาคารจะ ปรับลดดอกเบี้ยลงเพียง 0.25%

Source: กรุงเทพธุรกิจ

ขอบคุณที่มา : Bank of Thailand Scholarship Students


Tunrawas