ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทรัมป์ เปิด 3 แนวรบเศรษฐกิจใหม่ โลกเตรียมปั่นป่วนอีกครั้ง

โดย อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง
เผยแพร่ :
70 views

ทรัมป์ เปิด 3 แนวรบเศรษฐกิจใหม่ "Fed-บริษัทอาวุธ-ภาษีดิจิทัล" โลกเตรียมปั่นป่วนอีกครั้ง | Podcast Available

สวัสดีค่ะทุกคน เช้านี้มีเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการการเงินทั่วโลก และเป็นเรื่องที่เราต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดเลยค่ะ นั่นก็คือความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปลดผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ท่านหนึ่งออกจากตำแหน่ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวการเมืองธรรมดาๆ แต่มันส่งแรงกระเพื่อมไปถึงตลาดเงินตลาดทุนโดยตรงเลยทีเดียวค่ะ

 

 

จุดเริ่มต้นของแรงสั่นสะเทือน: ทรัมป์สั่งปลดฟ้าผ่าผู้ว่าฯ Fed

ประเด็นร้อนที่สุดในตอนนี้คือการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เคลื่อนไหวเพื่อปลดคุณลิซ่า คุก (Lisa Cook) ออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ Fed โดยให้เหตุผลว่าเธออาจปลอมแปลงเอกสารเกี่ยวกับการจำนอง ซึ่งคุณคุกเป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ การกระทำของทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และจุดชนวนความกังวลครั้งใหญ่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง"

หลายคนอาจจะสงสัยว่า "ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง" มันสำคัญยังไง? อธิบายง่ายๆ ก็คือ Fed มีหน้าที่กำหนดนโยบายการเงิน เช่น การขึ้นหรือลงดอกเบี้ย เพื่อดูแลเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพ ควบคุมเงินเฟ้อ และทำให้การจ้างงานอยู่ในระดับที่ดี

หัวใจสำคัญคือการตัดสินใจของ Fed จะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเศรษฐกิจ ไม่ใช่ความต้องการของฝ่ายการเมือง ถ้าหากนักการเมืองสามารถสั่งให้ Fed ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งได้ตามใจชอบ ก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่ได้ในระยะยาว ความเชื่อมั่นในระบบการเงินก็จะพังทลายลงค่ะ นี่คือเหตุผลที่ตลาดการเงินทั่วโลกอ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก

แน่นอนว่าคุณลิซ่า คุก ไม่ยอมรับการตัดสินใจนี้และประกาศว่าจะต่อสู้ทางกฎหมายจนถึงที่สุด โดยเธอยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ด้าน Fed เองก็ได้ออกแถลงการณ์ว่าจะเคารพคำตัดสินของศาล ซึ่งหมายความว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ที่ต้องจับตาดูกันยาวๆ เลยค่ะ หากทรัมป์ทำสำเร็จและสามารถแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาแทนได้ เขาจะมีเสียงข้างมาก 4 ใน 7 เสียงในบอร์ดของ Fed ซึ่งจะทำให้เขาสามารถชี้นำนโยบายการเงินได้ง่ายขึ้นมาก

 

ตลาดตอบสนองอย่างไรต่อข่าวนี้?

ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ตลาดการเงินก็ตอบสนองทันที แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะยังไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนค่ะ

สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือใน ตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี (หรือที่เรียกว่า Yield) ปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ 4.90% การที่ Yield สูงขึ้น แปลว่าราคาพันธบัตรลดลง สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มกังวลกับความเสี่ยงในระยะยาวมากขึ้นค่ะ

พวกเขากังวลว่าหาก Fed ขาดความเป็นอิสระ อาจจะไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ดีเหมือนเดิมในอนาคต ทำให้พวกเขาต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงนั้น นอกจากนี้ ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีและ 30 ปี ยังถ่างออกกว้างที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งเป็นอีกสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนในระยะยาว

ในฝั่งของ ค่าเงินดอลลาร์ ก็อ่อนค่าลงเล็กน้อย ดัชนี Bloomberg Dollar Spot Index ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ส่วน ตลาดหุ้น ดูเหมือนจะยังทรงตัวได้ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.4% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง Nvidia ที่ทุกคนกำลังรอฟังผลประกอบการอย่างใจจดใจจ่อ

 

ภาพใหญ่กว่าแค่การปลดคนเดียว: ความพยายามควบคุมกลไก Fed ทั้งระบบ

เรื่องนี้ไม่ได้จบแค่ความพยายามปลดคุณลิซ่า คุกเท่านั้นค่ะ แต่ยังมีรายงานเชิงลึกที่น่าจับตามากกว่านั้นอีก นั่นคือทีมงานของทรัมป์กำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ เพื่อใช้อิทธิพลเหนือธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาภูมิภาคทั้ง 12 แห่ง

ซึ่งโดยปกติแล้ว ประธานของธนาคารกลางสาขาเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศผ่านการลงคะแนนในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee หรือ FOMC) โดยมี 5 เสียงที่จะหมุนเวียนกันไป ต่างจากผู้ว่าการ Fed ที่ได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีและผ่านการรับรองจากวุฒิสภา

การที่ฝ่ายบริหารพยายามตรวจสอบและเข้าไปมีอิทธิพลต่อกระบวนการคัดเลือกและแต่งตั้งประธานธนาคารกลางสาขา ซึ่งปกติแล้วเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างคณะกรรมการของธนาคารกลางสาขาเหล่านั้นและคณะผู้ว่าการ Fed ในกรุงวอชิงตัน ถือเป็นก้าวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการพยายามแทรกแซงนโยบายการเงิน ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้วจะถูกแยกออกจากแรงกดดันทางการเมือง

การพยายาม "พลิกหินทุกก้อน" เพื่อหาทางควบคุม Fed สะท้อนให้เห็นความตั้งใจของทรัมป์ที่จะสร้างเสียงข้างมากในคณะผู้ว่าการ Fed ให้ได้ และหากทำได้สำเร็จ ก็อาจจะใช้เสียงข้างมากนี้กดดันธนาคารกลางสาขาต่างๆ โดยอ้อมได้ด้วยการใช้การลงคะแนนเพื่ออนุมัติการแต่งตั้งประธานธนาคารกลางสาขาเป็นเครื่องมือใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้วการลงคะแนนเหล่านี้มักจะผ่านไปโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อย่างอดีตรองประธาน Fed คุณลาเอล เบรนาร์ด (Lael Brainard) ก็ออกมาเตือนว่า การที่ฝ่ายการเมืองพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ FOMC โดยการปลดประธานธนาคารกลางสาขาหลายคน อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่สูงขึ้นตามมาในที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นอกจากนี้ การรับรู้ถึง "ความเป็นอิสระของ Fed" จากแรงกดดันทางการเมืองถือเป็นรากฐานสำคัญของตลาดสหรัฐฯ และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อการรับรู้นี้อาจส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ด้วย

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง S&P Global Ratings ได้เคยเตือนไว้ก่อนหน้านี้ว่า อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอาจถูกกดดัน หากพัฒนาการทางการเมืองส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของสถาบันอเมริกัน ประสิทธิภาพในการกำหนดนโยบายระยะยาว หรือความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การแย่งชิงตำแหน่ง แต่เป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงหลักการพื้นฐานที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกดำเนินไปอย่างมีเสถียรภาพมานานหลายทศวรรษค่ะ

 

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหว: รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเข้าถือหุ้นในบริษัทกลาโหม?

นอกจากการแทรกแซง Fed แล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนแนวทางการบริหารเศรษฐกิจแบบแหวกแนวของรัฐบาลทรัมป์ นั่นคือการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุณโฮเวิร์ด ลุทนิก (Howard Lutnick) ออกมาส่งสัญญาณว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาถึงการเข้าถือหุ้นในบริษัทเอกชนที่อยู่ในภาคส่วนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งสร้างความประหลาดใจด้วยการเข้าถือหุ้นเกือบ 10% ในบริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่อย่าง Intel Corp. ไปเมื่อไม่นานนี้ โดยคุณลุทนิกได้กล่าวอย่างเจาะจงถึงบริษัท ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาวุธและเครื่องบินรบรายใหญ่ของโลก โดยให้เหตุผลว่าบริษัทแห่งนี้มีรายได้ประมาณ 73% มาจากสัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ และกล่าวว่า "พวกเขาเป็นเหมือนแขนขาหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยพื้นฐาน"

แนวคิดนี้ถือเป็นการฉีกกรอบการทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชนแบบเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง และแสดงให้เห็นถึงแนวคิด "รัฐชาติพาณิชย์" (Economic Statecraft) รูปแบบใหม่ ที่รัฐบาลพร้อมจะเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้ถือหุ้นในอุตสาหกรรมที่มองว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์จะกลับคืนสู่ประชาชนชาวอเมริกัน

แม้ว่าแนวคิดนี้จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศดีดตัวขึ้นทันที (หุ้นล็อกฮีด มาร์ติน ปรับตัวขึ้นถึง 1.7% หลังมีข่าวดังกล่าว) แต่ก็สร้างคำถามมากมายถึงเส้นแบ่งระหว่างการกำกับดูแลและการเข้ามาควบคุมโดยตรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาคเอกชนในระยะยาว

 

สงครามการค้าดิจิทัล: ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีตอบโต้ ‘ภาษีดิจิทัล’

อีกหนึ่งแนวรบที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน คือเรื่องการค้า โดยเขาได้ออกมาขู่ว่าจะใช้มาตรการทางภาษีเพิ่มเติมและจำกัดการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงและเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อตอบโต้ประเทศต่างๆ ที่บังคับใช้สิ่งที่เรียกว่า "ภาษีบริการดิจิทัล" หรือ Digital Services Tax (DST)

ภาษี DST คืออะไร? พูดง่ายๆ มันคือภาษีที่บางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร นำมาใช้จัดเก็บจากรายได้ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทอเมริกันอย่าง Google, Meta และ Amazon) ที่เกิดขึ้นจากการให้บริการผู้ใช้งานในประเทศของตนเองค่ะ แนวคิดของประเทศเหล่านี้คือ บริษัทเทคฯ ทำรายได้มหาศาลจากพลเมืองของเขา ก็ควรจะจ่ายภาษีให้ประเทศของเขาอย่างเป็นธรรม

แต่ในมุมมองของทรัมป์ เขาเห็นว่าภาษีนี้ "มีเจตนาทำร้ายหรือเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีของอเมริกา" และที่สำคัญคือ เขามองว่าภาษีเหล่านี้กลับยกเว้นให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาส่งคำขาดว่าหากประเทศไหนไม่ยกเลิกภาษี DST ก็จะต้องเผชิญกับการขึ้นกำแพงภาษีและการจำกัดการส่งออกชิปและเทคโนโลยีที่สำคัญจากสหรัฐฯ การกระทำของทรัมป์ไม่ใช่แค่คำขู่ลอยๆ เพราะก่อนหน้านี้แคนาดาก็ได้ยอมถอยและยกเลิกแผนการเก็บภาษี DST ไปแล้วหลังจากโดนกดดันอย่างหนักจากสหรัฐฯ

เรื่องนี้จึงเป็นการเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภูมิทัศน์การค้าโลก และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนโยบายที่คาดเดายากของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกต้องนำไปประกอบการพิจารณาความเสี่ยงด้วยค่ะ

 

ท่ามกลางความวุ่นวาย นักลงทุนยังคงมองโลกในแง่ดี?

แม้จะมีเรื่องราวทางการเมืองที่ร้อนระอุ แต่ก็น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นดูเหมือนจะไม่ตื่นตระหนกเท่าที่ควร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? คำตอบก็คือ นักลงทุนจำนวนมากยังคงยึดมั่นกับ "บทวิเคราะห์เชิงบวก" ที่วางไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ พวกเขายังเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานสามข้อหลักๆ คือ

Fed น่าจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้, เศรษฐกิจโดยรวมยังแข็งแกร่ง และผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ยังดีพอที่จะประคองตลาดต่อไปได้

สิ่งที่มาสนับสนุนความเชื่อมั่นนี้คือ ข้อมูลจากภาคเอกชนโดยตรงค่ะ จากการวิเคราะห์ของ Jefferies พบว่า ในบรรดาบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ปรับคาดการณ์รายได้ในไตรมาสปัจจุบัน มีถึง 44% ที่ปรับเพิ่มคาดการณ์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 ในขณะเดียวกัน มีเพียง 14% ที่ปรับลดคาดการณ์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลในปี 2015 ตัวเลขนี้เป็นเหมือนเสียงยืนยันจากภาคธุรกิจว่าพวกเขายังคงมองเห็นแนวโน้มที่ดีอยู่ค่ะ

เมื่อมองไปที่ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค ก็จะเห็นภาพที่ผสมผสานกันไป ซึ่งช่วยอธิบายได้ว่าทำไมตลาดถึงยังไม่ตื่นตระหนก ในด้านบวก เราเห็นสัญญาณที่แข็งแกร่งจากภาคธุรกิจ ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรของบริษัทต่างๆ (ไม่รวมกลุ่มอากาศยานและการทหารที่มีความผันผวนสูง) เพิ่มขึ้นถึง 1.1% ซึ่งเป็นการดีดตัวกลับจากที่ลดลง 0.6% ในเดือนมิถุนายนและสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ทั้งหมด

นักเศรษฐศาสตร์อย่าง สตีเฟน สแตนลีย์ จาก Santander Capital Markets ให้ความเห็นว่า "แม้จะมีเสียงบ่นมากมายถึงความไม่แน่นอนของนโยบายที่ทำให้หลายบริษัทต้องชะลอการลงทุน แต่ข้อมูลจริงกลับแสดงให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในระดับที่ดี"

ในขณะเดียวกัน เมื่อหันมาดูฝั่งผู้บริโภค ภาพก็ดูซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมปรับตัวลดลงเล็กน้อยจริงๆ ค่ะ สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องโอกาสในการหางาน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ถึงแม้ผู้คนจะ "รู้สึก" กังวล แต่พฤติกรรมการใช้จ่ายของพวกเขากลับยังคงแข็งแกร่ง

เบร็ต เคนเวลล์ จาก eToro ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า "ผู้บริโภคดูเหมือนจะไม่ได้หวาดกลัว แต่อาจจะแค่ระมัดระวังตัวมากขึ้น" ซึ่งคำพูดนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากการประชุมนักวิเคราะห์ของบริษัทต่างๆ และตัวเลขยอดค้าปลีก ที่ล้วนสะท้อนว่าผู้บริโภคยังคงมีกำลังซื้อและยังคงจับจ่ายใช้สอยกันอยู่

แต่ท่ามกลางความเชื่อมั่นนี้ ก็มีสัญญาณเตือนที่น่าสนใจซ่อนอยู่ นั่นคือ ความผันผวนในตลาดที่ลดลงจนน่าแปลกใจ ดัชนี VIX หรือที่เราเรียกกันเล่นๆ ว่า "ดัชนีความกลัว" อยู่ในระดับที่ต่ำมาก และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ บรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้ทำการ "ชอร์ต" หรือเดิมพันว่าความผันผวนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป ด้วยปริมาณสัญญาที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี คือประมาณ 92,786 สัญญา

ซึ่งในเชิงสถิติแล้ว ความสงบที่ผิดปกติและการเดิมพันอย่างสุดโต่งไปในทิศทางเดียวกันเช่นนี้ มักจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงความปั่นป่วนรุนแรงและการปรับตัวลงของตลาดหุ้นที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

ดังนั้น สถานการณ์ตอนนี้จึงเป็นภาพที่ซับซ้อน ด้านหนึ่งนักลงทุนได้รับความเชื่อมั่นจากผลประกอบการบริษัทที่แข็งแกร่ง แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความเสี่ยงทางการเมืองที่ประเมินได้ยาก และสัญญาณเตือนจากตลาดความผันผวนที่กระพริบอยู่เงียบๆ ค่ะ

 

สรุปและความเห็นส่วนตัว

การพยายามปลดผู้ว่าการเฟด และการต่อสู้ในศาลจะเป็นตัวตัดสินที่ดีเลยว่า อำนาจของประธานาธิบดีมีแค่ไหนกันแน่ค่ะ ถ้าทำได้ ทรัมป์คงจะหาเรื่องต่อไป แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะปิดฉากการเข้าพยายามแทรกแซงเฟดของทรัมป์ไปโดยสิ้นเชิงนั่นเองค่ะ ดังนั้นแม้เรื่องนี้จะสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาด แต่ในอีกทางนึง เมื่อเรื่องจบ มันก็จะสร้างความชัดเจนมากๆ ให้กับตลาดเช่นกันค่ะ

แต่สิ่งที่เห็นง่ายๆ คือ เมื่อไหร่ที่ความเป็นอิสระของธนาคารกลางได้รับผลกระทบ เราจะเห็นเลยว่า Bond Yield ตัวยาวๆ เด้งนะคะ ซึ่งเป็นซิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ทรัมป์ต้องการโดยสิ้นเชิง ส่วนตัวเดาว่า เดี๋ยวก็ต้องถอยเหมือนเดิมแหละ TACO ตลอดไป (งานนี้คงให้ Scott Bessent มาช่วยเหมือนเดิม)

คืนนี้ไปลุ้นผลประกอบการ NVIDIA กันค่ะ มาหลังตลาดปิดนะคะ ดังนั้นนอนกันก่อนได้เลย

 

 

 

ที่มา.  Beauty Investor


อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง