ตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเป็นแรงเทขายจากต่างชาติเป็นตัวผลักดันหุ้นไทยให้ไหลลงมา พร้อมกับความไม่แน่ชัดของหุ้นบางกลุ่มที่ถูกมองโลกในแง่ดีจนเกินไป นักลงทุนอาจจะต้องเรียนรู้คติบางอย่างที่บอกว่า "ราคา คือสิ่งที่คุณจ่าย แต่มูลค่า คือสิ่งที่คุณได้รับ" เมื่อใดที่เราซื้อมันในราคาแพงเกินไป นักลงทุนจะต้องบาดเจ็บในท้ายที่สุด
ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนดีมาก แต่สุดท้ายแล้วระยะยาวจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10%
(ที่มาภาพ : Forbes)
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผมมองว่าตลาดหุ้นในปี 2560 อาจจะไม่ดีนัก เนื่องมาจาก 2 ปัจจัย คือ
1.) ปี 2559 ที่ผ่านมา เป็นปี Outperform ของตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนถึง 20% ติดอันดับให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก ถ้าเราดูจากค่าเฉลี่ยแล้ว ตลาดจะให้ผลตอบแทนระยะยาวอยู่ที่ 8% และปันผลอยู่ 2-3% (ประมาณ 10%) ดังนั้นในปีนี้ผลตอบแทนของตลาดอาจจะติดลบเพื่อให้กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยอีกครั้ง ดังนั้นเราไม่ควรมองตลาดหุ้นสร้างผลตอบแทนที่มากและมองเป็นทางรวยลัด
2.) อัตราดอกเบี้ยเริ่มกลับมาขยับขึ้นอีกครั้ง ... มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องเรียนรู้ไว้ คือ ไม่มีสินทรัพย์ใดที่ลงตลอดไป หรือเป็นขาขึ้นตลอดไป อัตราดอกเบี้ยก็เช่นเดียวกัน มันเป็นขาลงมาอย่างยาวนาน อาจจะต้องถูกปรับขึ้นบ้างเพื่อเขเสู่ความสมดุล ส่วนเหตุผลนั้นเป็นเรื่องของ"การเอาเหตุมาใส่ผล" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบายทรัมป์ นโยบายของเฟดที่มองว่าเศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น การจ้างงานดีขึ้น อะไรก็ตามแต่ สุดท้ายแล้ว มันจะต้องมีการปรับขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
เราดูปัจจัยที่ทำให้ผมมองว่าหุ้นไทยเป็นขาลงแล้ว ที่นี้มีสาเหตุอะไรบ้างละที่ทำให้หุ้นกลับมาเป็นขาขึ้น ผมเรียกมันว่า 3 ปัจจัยที่ทำให้หุ้นขึ้น คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน การลงทุนของภาครัฐ และอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ เรามาวิเคราะห์กันทีละข้อครับ
1.) กำไรของบริษัทจดทะเบียน
ต้องบอกว่า นี้คือเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ผมมองในด้านบวก ถึงแม้ว่ารานได้โดยรวมจะลดลง แต่เรามี Profit margin ที่ดีมากขึ้น นี้เป็นสัญญานที่ดี ของบริษัทจดทะเบียนที่มีความสามารถ อีกทั้งหลายบริษัทมีการลงทุนต่างประเทศ ถึงแม้จะยากลำบากในช่วงแรกแต่เมื่อเวลาผ่านไป การลงทุนเหล่านี้จะเป็นปัจจัยเชิงบวกมหาศาลในอนาคตได้ครับ
2.) การลงทุนของภาครัฐ
Infographic การลงทุนของภาครัฐที่มีมูลค่าสูงถึง 1.77 ล้านล้านบาท เป็นปัจจัยที่จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นมากในระยะยาว
(ที่มาภาพ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์)
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนของภาครัฐเป็นตัวสร้างเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ ประเทศไทยไม่ได้มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานมานานมากแล้ว เรากำลังอยู่ในช่วงของ "กำลังจะทำ" แต่ยังไม่ได้ลงมือทำแบบจริงๆจังๆ ด้วยเหตุนี้เอง ประเทศไทยยังมีเมกะโปรเจคการลงทุนของภาครัฐอีกมากที่รอให้ไปทำ มันจะเป็นปัจจัยที่ดีได้ในอนาคต แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ .. แน่นอนว่าตลาดหุ้นได้สะท้อนข่าวดีนี้ไปแล้ว แต่ในเมื่อยังไม่มีอะไรเด่นชัด การเก็งกำไรก็จบลง หุ้นก็ต้องลงตามแรงเก็งกำไรที่ขึ้นมา ... อย่างที่วอเร็น บัฟเฟตต์พูด "คนฉลาดจะเป็นคนเริ่มต้น ส่วนคนคิดช้าและชอบเดินตามผู้อื่น จะเป็นคนจบมันในท้ายที่สุด"(แน่นอนว่า ต้องเป็นคนจ่ายรอบวง ด้วย)
3.) อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ
ข้อนี้อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวเรา และคนส่วนใหญ่มักจะไม่เข้าใจ แต่อัตราดอกเบี้ยมีผลอย่างมากสำหรับกระแส Fundflow กองทุนต่างชาติ เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยถูกปรับขึ้น มูลค่าของสินทรัพย์จะถูกลดมูลค่าลง เพราะคนจะคิดว่า ผลเอาเงินวางไว้เฉยๆในแบงค์ได้เงินมากขึ้น ทำไมจะต้องเอาเงินมาวางไว้ในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงด้วยละ ?
การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางโดยผ่านตราสารหนี้อายุ 3 เดือน และ 30 ปี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะคาดเคลื่อนอยู่พอสมควร
(ที่มาภาพ : Forbes)
ช่วงนี้ผมเริ่มสังเกตว่า หลายๆธนาคารเริ่มออกโปรโมชั่นเงินฝากประจำที่นานขึ้น 12 เดือน - 24 เดือน ให้ดอกสูงพิเศษ นี้อาจจะเป็นสัญญานว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะถูกปรับขึ้นเร็วๆนี้ก็เป็นได้ ต้องรอดูกันต่อไปครับ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยถูกปรับขึ้น ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทันกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ณ เวลานี้ เรายังสามารถหาหุ้นไทยที่ปันผล 2-4% และราคายังไม่แพงได้อยู่ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่แล้วมักจะมองราคาที่ขึ้นลงเป็นหลัก และนั้นเป็นจุดเสียของนักเล่นหุ้นต้องเสียให้กับตลาดในการเข้าๆออกๆหลายครั้ง ถ้าเรามองมันเป็นเรื่องของการลงทุนและสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สร้าง Passive Income ได้ เราจะมีความสบายใจในการถือครองมันได้ครับ
-------------------------
เขียนโดย SiTh LoRd PaCk