ห้องเม่าปีกเหล็ก

คัด 3 หุ้นเด่นกลุ่มค้าปลีก ที่อาจจะเป็นจังหวะดีในการเข้า “ซื้อ”

โดย 8080
เผยแพร่ :
59 views

คัด 3 หุ้นเด่นกลุ่มค้าปลีก ที่อาจจะเป็นจังหวะดีในการเข้า “ซื้อ”

กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง หลังจากภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยว และการอุปโภคบริโภคที่มีมากขึ้น โดยหนึ่งในหุ้นที่จะได้รับผลประโยชน์คงหนีไม่พ้น กลุ่มค้าปลีก ที่การจับจ่ายใช้สอบสินค้าจำเป็น ก็ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง


โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกในตลาดหุ้นไทย ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย และความแข็งแกร่งก็ยังแตกต่างกันออกไปอีกด้วย ซึ่งล่าสุดนักวิเคราะห์ได้ออกมาคัดหุ้นเด่นของกลุ่มนี้มาฝากนักลงทุน พร้อมยังบอกอีกว่า ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลดลงโดยเฉลี่ย 12% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา underperform SET อยู่ 6% ซึ่งเขามองว่าสะท้อนถึงความกังวลของตลาเกี่ยวกับ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทั้งนี้ในบรรดาผู้ประกอบการทั้งหมดในกลุ่มค้าปลีก CRC มีแนวโน้มที่จะรายงานการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโตดีที่สุดในกลุ่ม ตามด้วย CPALL, BJC


สะท้อนจากมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ได้ออกมาประเมินว่า ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีก ปรับตัวลดลงโดยเฉลี่ย 12% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา underperform SET อยู่ 6% ซึ่งมองว่าสะท้อนถึงความกังวลของตลาดเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น


อย่างไรก็ดี แม้อัตราเงินเฟ้อสูง แต่ SSSG ของกลุ่มน่าจะเติบโตเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่ 7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 2/65 ถึงปัจจุบัน และจะเติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนต่อไปอีกในครึ่งหลังของปี 65 จากฐานตํ่าในไตรมาส 3/64 สืบเนื่องมาจากมาตรการล็อกดาวน์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ประกอบกับรายได้เกษตรกรและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวของยอดขายมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ สำหรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ประเมินได้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น 1% จะส่งผลกระทบทำให้กำไรสุทธิปี 2566 ของกลุ่มปรับลดลงโดยเฉลี่ย 6%


สำหรับหุ้นเด่นชอบ CRC CPALL และ BJC เนื่องจากคาดว่ากำไรปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฟื้นตัวจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่ม (ผลประกอบการได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างหนักในปี 2563-64) และกำไรช่วงไตรมาส 3/65 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากฐานตํ่าในไตรมาส 3/64 อันเป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์


อย่างไรก็ตามหลังจากเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/64 SSSG ของกลุ่มน่าจะเติบโต 7% ในเดือนเม.ย.-พ.ค. จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับการสนับสนุนจาก

1.ฐานตํ่าของปีก่อนจากการเริ่มระบาดระลอกสามของ COVID-19


2.กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวการกลับมาเปิดโรงเรียนและสถานบันเทิงยามคํ่าคืน เช่น ผับ และบาร์ และการกลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งของนักท่องเที่ยวชาวไทย (79 ล้านคน, เพิ่มขึ้น 126%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในช่วง 5 เดือนแรกของปี65) และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3,677% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 65) และ


3.การปรับราคาสินค้าสืบเนื่องมาจากเงินเฟ้อ (นําโดยสินค้ากลุ่มอาหารสด ซึ่งเป็นบวกต่อผู้ประกอบการค้าปลีกกลุ่มสินค้าจำเป็น)


ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากโมเมนตัมแยกตามกลุ่ม SSSG ของผู้ประกอบการค้าปลีกกลุ่มแฟชั่น (ห้างสรรพสินค้า) และกลุ่มอาหารเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนในอัตราที่เร็วกว่าไตรมาส 1/65 แต่ชะลอตัวลงสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกกลุ่มสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านอันเป็นผลมาจากการหยุดพักกิจกรรมการก่อสร้างในช่วงวันหยุดยาวและฝนที่ตกหนักกว่าปีก่อน


ขณะที่ในบรรดาผู้ประกอบการทั้งหมดในกลุ่มพาณิชย์ CRC มีแนวโน้มที่จะรายงาน SSSG เติบโตดีที่สุดในกลุ่ม เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามด้วย CPALL เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักจากช่วงเดียวกันของปีก่อน, BJC และ MAKRO (เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน), HMPRO (เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับตํ่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ) และ GLOBAL (ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน)


นอกจากนี้ยังคาดว่า SSSG ของกลุ่มจะเติบโต 6% ในปี 2565 เทียบกับ -10.7% ในปี 2563 และ +0.4% ในปี 2564) ซึ่งบ่งชี้ว่า SSSG จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปี 65 (เทียบกับ 7% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 65) โดยจะได้รับการสนับสนุนจาก 1.กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว เนื่องจาก COVID-19 มีผลกระทบลดลงท่ามกลางอัตราการฉีดวัคซีนระดับสูงและฐานตํ่าในไตรมาส 3/64 สืบเนื่องมาจากมาตรการล็อกดาวน์;


2.รายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย SCB EIC คาดว่ารายได้เกษตรกรจะเติบโต 9.5% ในปี 2565 (เทียบกับ 10% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 65) อันเป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น 7.6%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรที่ราคาเชื่อมโยงกับราคาน้ำมัน และผลผลิตสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น1.8%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวยมากขึ้นและระดับนํ้าในเขื่อนที่สูงขึ้น;


3.นักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านคนในปี 2565 (จาก 4.28 แสนคนในปี 2564) โดยจะเข้ามามากในครึ่งหลังปี 65 (เทียบกับ 1.3 ล้านคนใน 5 เดือนแรกปี 65); และ 4.การผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่ผู้ประกอบการค้าปลีกโมเดิร์นเทรดไม่สามารถเข้าร่วมได้ เช่น คนละครึ่ง ทั้งนี้จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท พบว่ามีงบประมาณเหลือเพียง 1.84 แสนล้านบาท (12%) สำหรับเบิกจ่าย ณ เดือนมิ.ย.



สำรวจพื้นฐานรายตัวของหุ้นเด่น

CRC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า CRC ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับรูปแบบร้านค้าใหม่, เปิดแบรนด์ใหม่และขยายสาขาเพิ่ม ประกอบไปด้วยร้านค้าวัสดุก่อสร้าง (ไทวัสดุ บ้านแอนด์บียอนด์), GO! WOW และ Tops Care และ Tops Vita เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มการเติบโตของยอดขาย โดยประเมินว่าแผนการขยายสาขาดังกล่าว จะเพิ่มการเติบโตของจำนวนสาขาใหม่ (New Store Growth) ในปีนี้ ราว 3-5%จากปีก่อน


ฝ่ายวิจัยมองว่าแนวโน้มกำไรจะเร่งตัวขึ้นได้ตั้งแต่งวดไตรมาส 2/65 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสามารถลุ้นการเติบโตจากไตรมาสก่อนต่อได้ แม้จะเป็นช่วง Low Season ของกลุ่มค้าปลีกฯขับเคลื่อนมาจาก 1.การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในช่วงเดือน เม.ย. - พ.ค. ในทุกกลุ่มสินค้า (สินค้าแฟชั่น, ฮารด์ไลน์ และ กลุ่มอาหาร) ในระดับราว 20-25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นำโดยกลุ่มสินค้าแฟชั่นที่ยังคงเติบโตแรงมากกว่า 50%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานต่ำในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว รองลงมาคือ SSSG ของกลุ่มสินค้าอาหารที่ เติบโตราว 15-16%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


2.อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ที่ประเมินว่ายังคงอยู่ในระดับที่ดี แม้อยู่ในสภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากบริษัทได้ทำการปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้วในบางส่วน ในช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ส่วนปัจจัยอื่นที่ช่วยหนุน Gross Margin ให้ดีขึ้น มาจากสัดส่วนการขายสินค้าในกลุ่มแฟชั่นที่เพิ่มขึ้น, การปรับส่วนลดให้แก่ผู้เช่าพื้นที่ทยอยลดลงและอัตราการเช่าพื้นที่เริ่มกลับมาสูงขึ้นตามสถานการณ์โควิดที่เริ่มดีขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2565ไว้ตามเดิมที่ 6.6 พันล้านบาท เติบโต3,420.5%จากปีก่อน และปี 2566 ที่ 8.1 พันล้านบาท เติบโต 19.8%จากปีก่อนหน้า


จากผลประกอบการที่อยู่ในช่วง Turnaround และแนวโน้มกำไรที่ยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยถือว่า CRC เป็นหุ้นที่ฟื้นตัวเด่นสุดในกลุ่มค้าปลีกฯ ในช่วงครึ่งหลังปี 65 ส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการที่ขาดทุนในงวดไตรมาส 3/64 (ผลกระทบวิกฤต COVID) และการเน้นเปิดสาขาส่วนใหญ่ในช่วงนั้น ประกอบกับราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงอย่างมีนัยฯ ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำหรับทยอยเข้าซื้อสะสม โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 44.75 บาท


CPALL โดยบริษัทหลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปรับคำแนะนำ CPALL ขึ้นเป็น “ซื้อ” โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 23 ได้ที่ 72.25 บาท (35XPER’23E) ด้วยปัจจัยบวกจากการได้รับผลดีจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาขายปรับตัวสูงขึ้น และการกลับมาของนักท่องเที่ยวโดยไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่ในเดือน ก.ค. จะปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่นและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศหลังยกเลิกไทยแลนด์พาส ขณะที่ในแง่การขยายสาขายังโดดเด่นเบื้องต้นคาดไตรมาส 2/65 เปิดในประเทศไม่ต่ำกว่า 200 สาขา


โดยมองว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจนถึงระดับ 7.1% ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ทำให้สินค้าหลายรายการมีการปรับราคาขายขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยบวกสำหรับรายได้ของ CPALL ที่จะทำให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) เพิ่มขึ้น เห็นได้จากในช่วงไตรมาส 1/65 เงินเฟ้อทำให้ SSSG เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2-3% จากทั้งหมดที่เติบโต 13% ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/65 คาดว่ายอด SSSG ยังคงสูงกว่า 10% ได้อีกไตรมาส


นอกจากนี้ CPALL ยังได้รับผลดีจากมาตรการผ่อนคลายโควิดของภาครัฐโดยเฉพาะการปรับเป็นโรคประจำถิ่นและการยกเลิกไทยแลนด์พาสสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมา ทำให้มองว่าสาขาที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักนอกเหนือจากกรุงเทพที่มีกว่า 15% จะมียอดขายที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง


ด้านการเปิดสาขาใหม่ยังมีอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/65 จะ เปิดอีกอย่างน้อย 200 สาขาในประเทศ นอกจากนี้ด้วยภาพการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวทำให้ผลประกอบการของทาง MAKRO และ โลตัส ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อ CPALL ด้วยอีกทาง


สำหรับแนวโน้มช่วงไตรมาส 2/65 เบื้องต้นคาดกำไรจะเติบโตจากปีก่อนได้ จากฐานที่ต่ำ และการรวมโลตัสเข้ามาใน Makro ส่วนหากเทียบกับไตรมาส 1/65 มีโอกาสเติบโตได้เช่นกัน จากผลดีของการเปิดเมืองและการที่ MAKRO มีการคืนเงินกู้ไปบางส่วน แต่อาจจะไม่มากนักเพราะยังมีค่าใช้จ่ายในการรีแบรนด์โลตัสอยู่


อย่างไรก็ตามด้วยกำไรในช่วงครึ่งปีแรกของปี 65 คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 7,000 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 40% ของทั้งปีที่คาดไว้เดิมที่ 17,072 ล้านบาท เติบโต 31% จากปีก่อน ทำให้อาจจะมีการปรับประมาณการลง หลังการประกาศผลประกอบการ แต่สำหรับปี 66 ยังคงประมาณการณ์เดิมที่ 18,545 ล้านบาท เติบโต 9%จากปีก่อนหน้า


สุดท้าย BJC บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส ( ประเทศไทย ) จำกัด เปิดเผยว่า แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 41.25 บาท ส่วนธุรกิจที่เด่นคือ โมเดิร์นเทรด BigC ด้านอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSSG) สำหรับเดือนเม.ย. และพ.ค.65 เป็นบวกได้ในอัตราตัวเลขหลักเดียวค่อนไปทางสูง (High single-digit positive) หลังจากมีตัวเลขที่น่าประทับใจคือ SSSG ในงวดไตรมาส 1/65 เป็น +2.9% ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เป็นบวก นับตั้งแต่ไตรมาส 1/62 ทีเดียว


คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรไตรมาส 2/65 จะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากส่วนธุรกิจต่างๆคือ PSC, CSC, and H&TSC ที่เพิ่มขึ้นดี แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะในส่วนธุรกิจ MSC คือ BigC ที่ SSSG ฟื้นตัวแกร่ง อีกทั้งค่าเช่าร้านค้าก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากการให้ส่วนลดค่าเช่าที่น้อยลง ตามสภาพการที่ดีขึ้นหลังโรคระบาดคลี่คลาย


ดังนั้นปรับประมาณการกำไรปี 65 เพิ่มขึ้นอีก 7% เพื่อสะท้อนแนวโน้มธุรกิจที่มีการฟื้นตัวดีกว่าคาด ได้ปรับประมาณการกำไรปี 65 เพิ่มขึ้นอีก 7% ยังผลให้ประมาณการกำไรหลักปี 65 และ 66 เทียบกับปีก่อนหน่า ถือว่าเติบโตก้าวกระโดดและเป็นการฟื้นตัวครั้งใหญ่คือ เติบโต 54% และ เติบโต 22% ตามลำดับ หลังจากปี 63 และ 64 ได้รับผลกระทบหนักจากโรคระบาดโควิด-19 กำไรหลักได้ดิ่งลงถึง -47% และ -12% ตามลำดับ จึงคงคำแนะนำ ซื้อ แต่ปรับราคาพื้นฐานใหม่ขึ้นเป็น 41.25 บาท โดยบริษัทกำลังอยู่ในช่วงการได้รับส่วนครองตลาด (Market Share) เพิ่มสูงขึ้น

 


8080