
ราคาหุ้นของ “อินวิเดีย” ขยับขึ้นเกือบร้อยละ 180 แล้วในปีนี้ และถ้าเทียบในช่วงเกือบ 8 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นขึ้นมา 3 เท่า โดยได้อานิสงส์จากเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้ชิปประมวลผลที่มีความสามารถสูงของ “อินวิเดีย” เป็นที่ต้องการอย่างมาก “CB อินไซต์” ประเมินว่า อินวิเดียครองส่วนแบ่งตลาดชิปประมวลผลกราฟิก (Graphics Processing Unit-GPU) หรือที่เรียกว่า การ์ดจอ มากถึงร้อยละ 95 ของทั้งหมด
.
.
การที่มูลค่าตลาดของ “อินวิเดีย” แตะที่หลัก 1 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ “อินวิเดีย” กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดอันดับ 5 ของโลก รองจากยักษ์เทคโนโลยีอีก 4 ราย ได้แก่ อันดับ 1 “แอปเปิล” เจ้าของแบรนด์ไอโฟน ที่มีมูลค่าตลาด 2.76 ล้านล้านดอลลาร์ // อันดับ 2 “ไมโครซอฟท์” บริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก มีมูลค่าตลาด 2.48 ล้านล้านดอลลาร์ // อันดับ 3 “อัลฟาเบต” บริษัทแม่ของกูเกิล มีมูลค่าตลาด 1.59 ล้านล้านดอลลาร์ // อันดับ 4 “แอมะซอนดอทคอม” ยักษ์อี-คอมเมิร์ซ มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.23 ล้านล้านดอลลาร์
.
.
อย่างไรก็ตาม “เมตา แพลตฟอร์มส์” บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก และ “เทสลา” บริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ เคยมีชื่อติดทำเนียบบริษัทที่มีมูลค่าแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนมิถุนายน และตุลาคม ปี 2564 ตามลำดับ แต่หลังจากนั้นมูลค่าตลาดของทั้ง 2 บริษัทก็ลดลงจนปัจจุบันอยู่ที่กว่า 6 แสนล้านดอลลาร์
.
.
“อินวิเดีย” ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่รายแรก ใช้เวลาราว 24 ปี หลังเสนอขายหุ้นครั้งแรกต่อสาธารณะ (IPO) ในการขยับสู่มูลค่าตลาด 1 ล้านล้านดลอลาร์ ซึ่งเร็วกว่าเมื่อเทียบกับแชมป์อย่าง “แอปเปิล” ที่ใช้เวลานาน 38 ปี กว่าจะแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วน “ไมโครซอฟท์” ใช้เวลาประมาณ 33 ปี ตามด้วย “แอมะซอน” ที่ใช้เวลา 23 ปี และ “อัลฟาเบต” ใช้เวลา 16 ปี
.
.
อินวิเดีย” รายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2567 ที่เพิ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา โดยรายได้รวมอยู่ที่ 7.19 พันล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สำหรับกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 2.14 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบรายปี และเพิ่มร้อยละ 70 เมื่อเทียบรายไตรมาส
.
.
ด้านยอดขายชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลอยู่ที่ 4.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบรายปี และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบรายไตรมาส สะท้อนความต้องการใช้ชิปสำหรับ AI ที่เพิ่มขึ้น หลังบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกต่างเร่งเครื่องพัฒนา AI
.
.
นอกจากนี้ “อินวิเดีย” ยังคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาสต่อไปจะเพิ่มขึ้นแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ กว่าร้อยละ 50 สะท้อนความมั่นใจต่อธุรกิจชิป AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
.
.
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนความสำคัญของ GPU ที่มีต่อแพลตฟอร์ม AI แบบรู้สร้าง (generative AI) โดยเฉพาะ “แชตจีพีที” (ChatGPT) แชตบอตอัจฉริยะที่พัฒนาโดยบริษัทโอเพนเอไอ ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว และ “บาร์ด เอไอ” (Bard A.I.) ของค่ายอัลฟาเบต ต่างก็ต้องใช้ชิปแบบ GPU ส่งผลให้ราคาหุ้นของผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ GPU ทั้งอินวิเดีย, แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (AMD) และไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริ่ง (TSMC) ขยับขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
.
.
“อินวิเดีย” ก่อตั้งขึ้นในปี 2536 เป็นที่รู้จักจากการผลิตชิปประมวลผลกราฟิก ส่วนใหญ่ใช้สำหรับเกมคอมพิวเตอร์ แต่บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาชิปเพื่อประมวลผลกราฟิกที่ดีขึ้นสำหรับการเล่นเกมและแอปพลิเคชันอื่น ๆ กระทั่งในปี 2542 บริษัทได้พัฒนาชิป GPU เพื่อปรับปรุงการแสดงภาพสำหรับคอมพิวเตอร์ ซึ่งชิปแบบนี้เก่งในการประมวลผลชุดคำสั่งหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน และรองรับการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างกรณีของ “แชตจีพีที” ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จำเป็นต้องใช้ GPU ของ “อินวิเดีย” มากถึง 10,000 ตัว ในการฝึกร่วมกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ “ไมโครซอฟท์” ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาแชตจีพีที
.
.
ชิป GPU ของ “อินวิเดีย” มีส่วนในการปฏิรูปเทคโนโลยี AI เช่นเดียวกับที่ “อินเทล” เคยใช้ชิปประมวลผลกลาง (Central Processing Unit-CPU) ในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งชิปแบบ CPU เปรียบเสมือนสมองกลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลตามลำดับชุดคำสั่ง แต่ไม่สามารถประมวลผลคำสั่งที่มีความซับซ้อนและแสดงผลพร้อม ๆ กัน
.
.
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์ของ “อินวิเดีย” ผู้นำชิปแบบ GPU และ “อินเทล” ผู้นำชิปแบบ CPU แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน “อินเทล” กำลังเผชิญกับปัญหาสินค้าค้างสต็อกและความท้าทายในการพัฒนาชิปให้ทัน หลังเพิ่งเข้าร่วมในตลาด GPU ไม่นาน ในขณะที่ “อินวิเดีย” มีมูลค่าตลาดมากกว่า “อินเทล” ราว 8 เท่า แม้ว่า “อินเทล” จะมีรายได้กว่า 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว เทียบกับ “อินวิเดีย” ที่มีรายได้รวม 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์
.
.
แม้ “อินวิเดีย” จะได้รับความสนใจและมีความได้เปรียบในการพัฒนาชิป GPU มานานกว่าบริษัทอื่น ๆ แต่ก็ไม่อาจมองข้ามคู่แข่งที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทั้งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่พัฒนาชิปสำหรับ AI ของตัวเอง แทนที่จะใช้ชิปจากบริษัทผลิตชิปเหมือนเมื่อก่อน อาทิ “กูเกิล” ของอัลฟาเบต ที่มีชิป “เทนเซอร์” (Tensor) ซึ่งไม่ใช่แค่ใช้สำหรับการสืบค้นข้อมูลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานด้านแมชชีน เลิร์นนิ่ง (Machine Learning) หรือการทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับ “ไมโครซอฟท์” และ “เมตา” ที่ต่างก็มีโครงการพัฒนาชิป AI ของตัวเอง
.
.
นอกจากนี้ ยังมีสตาร์ทอัพด้านการผลิตชิปคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ อาทิ เซเรบราส, แซมบาโนวา ซิสเต็มส์ และฮาบานาที่ถูกอินเทลซื้อไป โดยบริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้ตั้งใจที่จะสร้างทางเลือกที่ดีกว่าในการผลิตชิปแบบ GPU สำหรับ AI
.
.
ตลาดชิป AI ทั่วโลกกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดย “เพรซีเดนซ์ รีเสิร์ช” ประเมินว่า ในปี 2565 ตลาดชิป AI มีมูลค่าราว 1.69 หมื่นล้านดอลลาร์ และขยับขึ้นแตะ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ รวมทั้งมีแนวโน้มจะไปแตะที่ 2.27 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2575 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 29.72 ระหว่างปี 2566-2575
.
.
ตลาดที่เติบโตดังกล่าวมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเรียนรู้เชิงลึกและการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ปลุกให้ตลาดชิป AI ขยายตัวต่อเนื่อง
ในขณะที่เทคโนโลยี AI กำลังบูมมากในปัจจุบัน นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “แชตจีพีที” และพัฒนาอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นสอบชนะมนุษย์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความฉลาดของ AI เหล่านี้ที่อาจส่งผลกระทบต่อมนุษย์
.
.
ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI หลายสิบคน รวมถึงหัวหน้าทีมขององค์กรใหญ่ ๆ อย่าง “แซม อัลต์แมน” CEO ของ “โอเพนเอไอ” ผู้พัฒนาแชตบอตอัจฉริยะ “แชตจีพีที”, “จอฟฟรีย์ ฮินตัน” ผู้บริหารระดับสูงของ “กูเกิล ดีปมายด์”, “เควิน สก็อตต์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ “ไมโครซอฟท์” ต่างลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนหน้าเว็บไซต์ศูนย์ความปลอดภัยปัญญาประดิษฐ์ (Centre for AI Safety) ที่มีเนื้อหาระบุว่า การลดความเสี่ยงที่มนุษย์จะสูญพันธุ์จาก AI ควรเป็นวาระที่มีความสำคัญระดับโลกควบคู่ไปกับความเสี่ยงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น โรคระบาดและสงครามนิวเคลียร์
.
.
แถลงการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความกังวลของผู้เชี่ยวชาญต่อสิ่งที่ AI อาจทำได้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อมนุษยชาติ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางรายออกมาระบุว่า สมมติฐานดังกล่าวอาจเป็นเรื่องเกินจริง เพราะ AI ยังไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น
.