ในช่วงปีศตวรรษที่ 16 ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีรายได้มาจากการเดินเรืออย่างมากมายมหาศาล แต่ด้วยความล้าหลังของนวัตกรรมและความไม่แน่นอนของรายได้ East India Company จึงจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดเพื่อระดมทุนในการทำธุรกิจโดยได้ออกจำหน่ายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป จนเกิดเป็นที่มาของตลาดหลักทรัพย์เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลกนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
หุ้น... จึงเป็นตัวแทนของความเป็นเจ้าของธุรกิจ
แนวคิดในการลงทุนแบบหนึ่ง คือ การซื้อหุ้นเหมือนร่วมลงทุนไปในธุรกิจนั้น และถือหุ้นไปตราบเท่าที่กิจการนั้นยังเป็นกิจการที่ดี ราวกับว่านักลงทุนเองเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจนั้นขึ้นมา โดยการลงทุนแบบดังกล่าวย่อมคำนึงถึงปัจจัยที่ต่างออกไปจากการลงทุนหุ้นแบบเก็งกำไร เพราะการลงทุนแบบ VI อย่างที่กล่าวมานั้นมีแนวคิดในการร่วมทำธุรกิจเป็นสำคัญ นักลงทุนจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานด้านธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งลงทุนศาสตร์ขอนำเสนอหลักการง่ายๆ 4 ข้อ ดังนี้
1 ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาว
การลงทุนในธุรกิจหนึ่งๆ นักลงทุนย่อมต้อง มองหาธุรกิจที่ในอนาคตมีแนวโน้มสดใส โดยสามารถวิเคราะห์ได้จากเศรษฐกิจ หรือเรื่องราวรอบๆ ตัว ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ที่ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการขนส่งมวลชนที่ทันสมัยมากขึ้น ธุรกิจสุขภาพ ที่ได้ประโยชน์จากการที่ประชากรในประเทศมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้น และเลือกที่จะหลีกเลี่ยงธุรกิจที่ดูมีอนาคตจำกัดและไม่เติบโต เช่น ธุรกิจสมุดหน้าเหลือง ที่ปัจจุบันถือได้ว่าค่อนข้างล้าสมัยและไม่มีคนใช้ ธุรกิจสิ่งทอ ที่ปัจจุบันประเทศไทยมีความได้เปรียบทางการค้าลดลงอย่างชัดเจน
2 กิจการมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
ในอุตสาหกรรมหนึ่งๆ ย่อมมีธุรกิจหลายบริษัทประกอบอยู่ด้วยกัน แต่บริษัทที่น่าลงทุนย่อมต้องเป็น บริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจ นั้น และมีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว เช่น บริษัท KO หรือโคคาโคล่าที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงตราสินค้าก็เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน จนเรียกได้ว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำดื่ม หรือบริษัท GOOG หรือกูเกิ้ลที่เป็นผู้นำทางด้าน search engine มาอย่างยาวนาน จนผู้ใช้ทั่วโลกไว้วางใจและใช้งานจนเป็น search engine อันดับหนึ่งตลอดมา
3 บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
ในการลงทุนนอกจากจะมองไปยังอนาคตแล้ว ยังจำเป็นต้องมองไปในอดีตอีกด้วย เพราะเด็กที่เคยเรียนดีมาตลอดก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะเรียนดีต่อไปในอนาคต ดังนั้น การวิเคราะห์งบการเงินจึงสำคัญสำหรับการลงทุนแบบ VI โดยเฉพาะบริษัทที่มีหนี้น้อย กำไรเติบโตมาอย่างยาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายวิกฤต บริษัทเหล่านั้นย่อมมีภาษีที่ดีกว่าบริษัทอื่นที่งบการเงินแย่กว่า ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นบริษัทในกลุ่มโครงข่ายโทรคมนาคม ซึ่งดูจากพื้นฐานธุรกิจอาจจะดูแตกต่างกันไม่มาก แต่ในด้านงบการเงินแล้วต่างกันพอสมควร บางบริษัทมีเงินสดมาก ความสามารถในการทำกำไรสูง บางบริษัทความสามารถในการทำกำไรแย่ลง แต่ยังมีเงินหมุนในบริษัท แต่ในขณะที่บางบริษัทกำไรดูดีขึ้น แต่สภาพคล่องด้านการจัดการหนี้ยังคงไม่ดีเท่าที่ควร
4 หุ้นมีราคาที่เหมาะสม
เรื่องนี้ก็สำคัญไม่แพ้ปัจจัยอื่นเลย เพราะการลงทุนที่ดีต้องซื้อกิจการที่ดีในราคาที่เหมาะสมด้วย เพราะถึงแม้ว่านักลงทุนจะซื้อหุ้น super stock ที่แข็งแกร่ง แต่กลับซื้อที่ราคาแพงมากๆ ย่อมมีโอกาสที่จะขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนแนว VI จำเป็นต้องประเมินมูลค่าหุ้น และรอคอยเวลาที่จะซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าเท่านั้น
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่านักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นด้วยปรัชญาแบบใด นักลงทุนก็จำเป็นต้องมีวินัยในการลงทุนตามปรัชญานั้นเสมอ แต่ข้อดีของการลงทุนอย่างเจ้าของธุรกิจ คือ นักลงทุนจะสนใจตลาดค่อนข้างน้อย และสนใจธุรกิจค่อนข้างมาก ซึ่งในระยะยาว นักลงทุนจะไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าจอหุ้นทุกวัน
ยิ่งถ้าธุรกิจที่ซื้อมามีความแข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว นักลงทุนก็เพียงแค่ติดตามธุรกิจเรื่อยๆ รับเงินปันผล และเหลือเวลามากมายไปใช้ชีวิตในแบบที่ตนอยากใช้ หรือที่เรียกได้ว่าได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสรภาพทางการเงินนั่นเอง