เปิด 5 ปัจจัยเสี่ยง กดดัน ‘แบงก์ชาติทั่วโลก’ ยังต้อง ‘ขึ้นดอกเบี้ย’
ส่อง 5 ปัจจัยเสี่ยงเข้ามากดดันธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะ FED – ECB – BOE เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อทุบเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ตั้งแต่ความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ไปจนถึงความปั่นป่วนในรัสเซีย
Key Points
- ราคาภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของหลายประเทศปรับตัวลดลงจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
- ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเข้ากดดันภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์หลังเพลิดเพลินกับภาวะดอกเบี้ยต่ำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
- ธนาคารหลายแห่งเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
- ปริมาณการผิดนัดชำระหนี้ของบรรดาบริษัทต่างๆ ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปีนี้แตะ 62 บริษัท
- ความปั่นป่วนในรัสเซียล่าสุดเข้ากดดันราคาสินค้าจำเป็นอย่างน้ำมันและธัญพืช
หลังจากการล่มสลายของธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ปัจจุบันนักลงทุนในตลาดหุ้นหลายประเทศต่างกังวลว่า “ใคร” จะเป็นรายต่อไป ท่ามกลาง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ของธนาคารกลางทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ(BOE) ออกโรงมาเตือนว่า
“วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ยังไม่จบ”
ทั้งหมดสอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ" (IMF) เตือนว่า อาจต้องใช้เวลานานขึ้นสำหรับบรรดาธนาคารกลางในการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อและความปั่นป่วนในโลกการเงิน
ทั้งนี้ แม้ภาคธนาคารจะเริ่มกลับมามี “เสถียรภาพ” อยู่บ้างหลังผ่านความปั่นป่วนมาเมื่อต้นปีจากการล่มสลายของธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐไปจนถึงธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดอย่างเครดิตสวิส (Credit Suisse)
อย่างไรก็ตาม ในภาคส่วนอื่นๆ ยังคงมี “สัญญาณไฟกะพริบ” เตือน โดยเฉพาะหลังจากเหตุความไม่สงบรัสเซียกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดอีกครั้ง โดยบรรดานักวิเคราะห์ ระบุ 5 ความเสี่ยงเศรษฐกิจสำคัญกดดันธนาคารกลางให้ยังคงมุ่งหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
1. ภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย (Residential Property)
ปัจจุบันหลายประเทศและภูมิภาค ทั้งในสรัฐ สวีเดน และยุโรป ต่างเผชิญกับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างสาหัส โดยอัตราดอกเบี้ยในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นเป็น 5% จากอัตรา 0.25% เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทำให้ยูเค ไฟแนนซ์ (UK Finance) สมาคมการค้าสำหรับภาคการธนาคารและบริการทางการเงิน ประเมินว่า ภายในสิ้นปี 2024
เจ้าของบ้านประมาณ 2.4 ล้านคน ต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่เพิ่มขึ้น
ด้าน ริชาร์ด ปอร์เตส (Richard Portes) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก ลอนดอน บิสซิเนส สคูล (London Business School) กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในแทบยุโรปเหมือนถูกแช่แข็งเพราะ จำนวนการทำธุรกรรมและราคาอสังหาที่ปรับตัวลดลง
“ในปี 2024 สถานการณ์ข้างต้นอาจแย่ลงเมื่อผลกระทบทั้งหมดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผ่านมายังภาคส่วนดังกล่าวอย่างสมบูรณ์”
2. ภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Commercial Real Estate)
ปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์เผชิญกับปัญหาต้นทุนการรีไฟแนนซ์ที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหลังจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วได้รับประโยชน์จากยุคอัตราดอกเบี้ยต่ำมานาน
โดย โทมัส มุนดี (Thomas Mundy) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน อีเอ็มอีเอ (EMEA) ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เจดับเบิลเอล (JLL) กล่าวว่า
“แม้ดอกเบี้ยคือสิ่งที่เป็นหัวใจหลักในตอนนี้ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตด้วย”
ประกอบกับ ราคาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในสวีเดนต่างก็ปรับตัวลดลงจากปัญหาหนี้สูง อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เช่นเดียวกัน
ที่สำคัญ จากการตัดสินใจล่าสุดของ HSBC ที่จะย้ายสำนักงานออกจากอาคาร คานารีวาร์ฟ (Canary Wharf) เพื่อไปใช้สำนักงานที่เล็กลง หลังจากดำเนินกิจการอยู่ที่อาคารดังกล่าวนาน 2 ทศวรรษ ก็สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้สำนักงานที่ลดลง ซึ่งนับเป็นอีกปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์เช่นเดียวกัน
3. สินทรัพย์ธนาคาร (Bank Assets)
หลังจากเกิดความปั่นป่วนในภาคธนาคารพาณิชย์เมื่อต้นปี ธนาคารหลายแห่งยังคงมุ่งให้ความสำคัญกับการคุมเข้มสำหรับปล่อยสินเชื่อ โดย โฟลเรียน ไอเอลโป (Florian Ielpo) ผู้จัดการด้านการลงทุนของ ลอมบาร์ด โอเดียร์ (Lombard Odier) กล่าวว่า
“ตอนนี้หลายประเทศเผชิญกับปัญหาสินเชื่อตึงตัว และประชาชนและภาคธุรกิจต่างเริ่มรับรู้แรงกดดันจากสภาวะดังกล่าวแล้ว”
ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดของธนาคารต่างๆ คืออสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากคำกล่าวของ เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานเฟด ที่ระบุว่า คณะทำงานอยู่ในช่วงติดตามธนาคารต่างๆ อย่าง “รอบคอบ” เพื่อแก้ไขช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น
ขณะที่การให้กู้ยืมสำหรับครัวเรือนทั่วไปก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลเช่นกัน โดย ไอเอลโป คาดว่าผู้บริโภคอาจจะเริ่มหยุดชำระเงินกู้ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ ซึ่งปัญหานี้จะกลายเป็นจุดอ่อนของภาคการธนาคารในอนาคตอันใกล้
4. การผิดนัดชำระ (Default)
ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลกระทบต่อบรรดาบริษัทน้อยใหญ่มากมายเพราะเข้ามากดดันปัญหาหนี้ที่มีสูงอยู่แต่เดิมแล้ว โดย เอสแอนด์พี (S&P) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก คาดว่า อัตราการผิดนัดชำระสำหรับบริษัทระดับการลงทุนย่อย (Sub-Investment Grade) ในยุโรปจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.6% ในเดือนมี.ค. 2024 จาก 2.8% ของช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
ขณะที่ มาร์คุส อัลเลนสปัค (Markus Allenspach) หัวหน้าฝ่ายวิจัยตราสารหนี้จาก จูเลียส แบร์ (Julius Baer) กล่าวว่า ปริมาณการผิดนัดชำระหนี้ทั่วโลกในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2023 มากเท่ากับในปี 2022 ทั้งปี
โดยในรายงานฉบับเดือน มิ.ย.ของมูดี้ส์ (Moody’s) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก (Credit Rating Agency) แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ต้นปี จำนวนของบริษัทผิดนัดชำระหนี้ทั่วโลกอยู่ที่ 62 บริษัท โดยจำนวนนี้อยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 41 บริษัท ยุโรป 11 บริษัท ลาตินอเมริกา 7 บริษัท และเอเชีย-แปซิฟิก 2 บริษัท
5. ความปั่นป่วนในรัสเซีย
บรรดานักวิเคราะห์หลายฝ่าย มองว่า ความปั่นป่วนจากกลุ่มวากเนอร์ที่แม้จะจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็นับเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สั่นคลอนการปกครองของ วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย
มากไปกล่าว เหตุการณ์ดังกล่าว ยังส่งผลกระทบทันทีต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จากราคาน้ำมันดิบ ไปจนถึงราคาธัญพืช ซึ่งเป็นตลาดที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในรัสเซียมากที่สุด โดยความผันผวนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ครั้งนี้ ยังอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลายประเทศและองค์กรธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยอยู่แล้วด้วย
อ้างอิง