ห้องเม่าปีกเหล็ก

PTTEP งบ Q3 กำไร ลดลง 25%

โดย POWER
เผยแพร่ :
159 views

PTTEP งบ Q3 กำไร 1.8 หมื่นลบ. ลดลง 25%

เหตุขาดทุนจากประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน

แต่ผลงาน 9 เดือนกำไรเพิ่มเป็น 5.8 หมื่นลบ.

.

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ 18,101 ล้านบาท ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 24,171 ล้านบาท โดยหลักๆ มาจากรายได้จากการขายลดลง และสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงเป็นขาดทุนในไตรมาสนี้ จากกำไรในไตรมาส 3 ปีก่อน

.

โดยมีการรับรู้ขาดทุนจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ฯ ในไตรมาสนี้ (ซึ่งรวมขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการ Mark to Market จำนวน 10 ล้านดอลลาร์) จากราคาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ไตรมาส 3 ปีก่อนเป็นกำไรที่ 94 ล้านดอลลาร์ (ซึ่งรวมกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการ Mark to Market จำนวน 64 ล้านดอลลาร์) จากราคาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าปรับตัวลดลง

.

ขณะที่ขาดทุนจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติสำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 จำนวน 25 ล้านดอลลาร์ ลดลง 17 ล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2565 ที่มีขาดทุน 42 ล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักจากไตรมาส 3 ปีก่อนมีการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ใน PTTEP BL จำนวน 95 ล้านดอลลาร์

.

ประกอบกับไตรมาสนี้มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สุทธิกับสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าลดลง 22 ล้านดอลลาร์ จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงในอัตราที่น้อยกว่าไตรมาส 3 ปีก่อน รวมถึงประเทศมาเลเซียมีค่าใช้จ่ายทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับ Functional Currency ลดลง 13 ล้านดอลลาร์ สรอ.

.

สำหรับผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของปีนี้ มีรายได้รวม 6,646 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 229,345 ล้านบาท) และมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 457,737 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 10 มาอยู่ที่ 48.14 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ

.

อย่างไรก็ตาม รายจ่ายในรอบ 9 เดือนลดลง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 58,422 ล้านบาท เติบโต 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55,290 ล้านบาท โดยยังคงรักษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ไว้ที่ 27.23 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ร้อยละ 74

.

จากผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ปตท.สผ. สามารถนำส่งรายได้ให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง โบนัสการผลิต และผลประโยชน์อื่นๆ ประมาณ 47,600 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น

.

ทั้งนี้รอบ 9 เดือนของปี 2566 มีความคืบหน้าการดำเนินงานทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและธุรกิจใหม่ โดยได้ดำเนินการเจาะหลุมผลิตและติดตั้งแท่นผลิตใหม่เพิ่มเติมในโครงการจี 1/61 ซึ่งเป็นไปตามแผนการเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในเดือนเมษายน 2567 รวมทั้งเพิ่มการผลิตก๊าซฯ ในโครงการอาทิตย์ที่อัตราประมาณ 350 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณขายก๊าซฯ ตามสัญญา เพื่อสนองตอบต่อแนวทางของภาครัฐในการลดผลกระทบด้านต้นทุนพลังงานให้กับประชาชน

.

ด้านความคืบหน้าการลงทุนในธุรกิจใหม่ ปตท.สผ. ได้ขยายความร่วมมือกับโพสโค โฮลดิ้งส์ (POSCO Holdings) บริษัทผู้ผลิตเหล็กชั้นนำในเกาหลีใต้ ในการหาโอกาสการลงทุนโครงการผลิตบลูไฮโดรเจนและกรีนไฮโดรเจนแบบครบวงจร รวมถึงโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) จากก่อนหน้านี้ที่ได้ร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ในประเทศโอมาน

.

ขณะที่บริษัท ฟิวเจอร์เทค เอนเนอร์ยี่ เวนเจอร์ส จำกัด (FTEV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด ได้เริ่มผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ลานแสงอรุณ” เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตปิโตรเลียมที่โครงการเอส 1 ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

.

ปตท.สผ. ยังได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกรมประมง เพื่อศึกษาวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ และนำไปใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียม ที่ใช้ในการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ และช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน

.

นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินโครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ ศึกษา พัฒนางานวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในสาขาวิชาธรณีศาสตร์ และวิศวกรรมปิโตรเลียม ให้กับอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งเป็นการสนับสนุนประเทศไทยทั้งการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) เพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกันอีกด้วย

 

 


POWER