คัดหุ้นเด่นกลุ่มโรงพยาบาล
เมื่ออยู่ในอุตสาหกรรมดาวรุ่งแห่งปี 66

.
จากประเด็นที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2566 ซึ่งเป็นผลสำรวจของหอการค้าโพล ที่ได้ผลสำรวจผู้ประกอบการรายสาขา, ผลสำรวจสถานภาพธุรกิจไทย และผลสำรวจปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ
.
โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนจาก 5 ด้าน ด้านละ 20 คะแนน รวม 100 คะแนน คือ 1.ด้านยอดขาย 2.ด้านต้นทุน 3.กำไรสุทธิ 4.ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและการแข่งขัน 5.ความต้องการ/กระแสนิยม ซึ่งพบว่า ธุรกิจการแพทย์และความงาม เป็นธุรกิจดาวรุ่ง อันดับ 1 ของปี 2566
.
ทั้งนี้ นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ธุรกิจดาวรุ่ง ของปี 2566 นั้น จะเห็นได้ว่า ธุรกิจด้านการแพทย์และความงาม มาเป็นอันดับ 1 เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่แพร่ระบาด ได้ส่งผลให้ประชาชนหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพมากขึ้น
.
ประกอบกับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีความต้องการใช้บริการด้านการแพทย์เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน กระแสที่ต้องมีการโชว์หน้าตา และบุคลิกภาพออกสื่อโซเชียล ทั้งในเฟสบุ๊ก ยูทูป tiktok อินสตาแกรม จึงทำให้คนหันมาให้ความสำคัญกับรูปร่าง-หน้าตา-ผิวพรรณ ความสวยความงาม เพื่อออกสื่อโซเชียลมากขึ้น
.
ดังนั้นคอลัมน์โพยหุ้นประจำวันจันทร์ในครั้งนี้ จึงได้รวบรวมหุ้นในกลุ่มธุรกิจการแพทย์ หรือโรงพยาบาล ยอดนิยมมาฝากนักลงทุน เริ่มจาก BDMS โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด เปิดเผยว่า คาดกำไรสุทธิปี 65 ที่ 12,031 ล้านบาท หนุนด้วยการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของผู้ป่วยต่างชาติ คาดกำไรสุทธิปี 66 เป็น 12,810 ล้านบาท บนสมมุติฐานรายได้จากการดำเนินกิจการ เพิ่มขึ้น 6.3% มาที่ 98,394 ล้านบาท ให้มูลค่าพื้นฐาน ปี 66 ที่ 36.50 บาท แนะนำ ซื้อ
.
ถัดมา BH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด เปิดเผยว่า ได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65 จากเดิม 3,617 ล้านบาท เป็น 4,584 ล้านบาท เพื่อสะท้อนการเพิ่มขึ้นของรายได้ผู้ป่วยต่างชาติอย่างแข็งแกร่ง บนสมมติฐานรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น 118% จาก เดิมที่คาดไว้ที่ 60% , รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเพิ่มขึ้น 18%
.
และ ปรับประมาณการ กำไรสุทธิ ปี 66 จากเดิม 3,900 ล้านบาท เป็น 5,060 ล้านบาท บนสมมุติฐาน รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ เพิ่มขึ้น 30% และ รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเพิ่มขึ้น 20% ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 66 ไว้ที่ 232 บาท แนะนำ ซื้อ
.
ส่วน BCH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด เปิดเผยว่า ปรับประมาณการกำไรสุทธิ ปี 65 อยู่ที่ 3,308 ล้านบาท ลดลงจากเดิมที่ 4,207 ล้านบาท
เนื่องจากการลดลงของผู้ป่วย COVID-19 และ ผลขาดทุนจากวัคซีนทางเลือก Moderna และ ปรับประมาณการกำไรสุทธิ ปี 66 อยู่ที่ 1,953 ล้านบาท ลดลงจากเดิมที่ 2,470 ล้านบาท บนสมมุติฐานรายได้จากกิจการโรงพยาบาล ลดลง 33.7% จากฐานที่สูงในปี 65 ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ปี 66 ไว้ที่ 23.60 บาท แนะนำซื้อ
.
CHG โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนะนำ “ซื้อ” ลดราคาเป้าหมายเล็กน้อยเหลือ 4.40 บาท เนื่องจากเราลดคาดการณ์กำไรหลักลง 12% ในปี 65 เพื่อสะท้อนรายได้จากโควิดที่ลดลงเนื่องจากสถานการณ์โควิดลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยคงประมาณการกำไรหลักตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไปไม่เปลี่ยนแปลง
.
ทั้งนี้เลือก CHG เป็น Top Pick ในกลุ่มดูแลสุขภาพของไทย เนื่องจาก 1.เป็นผู้นำโรงพยาบาลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของไทย และ 2.มุ่งเน้นการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสูงซึ่งมีความต้องการสูงและเพิ่มอัตรากำไรในระยะยาว
.
RJH โดยนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปรับเพิ่มคำแนะนำ RJH เป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35 บาท จากเดิม ถือ โดยมีการเติบโตต่อเนื่องของบริการรักษาโรคทั่วไป และ ROE ที่ยังคงอยู่ในระดับที่ดีที่ 20.9% ในปี 66
.
PR9 นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท คาดกำไรสุทธิปี 65-66 ที่ 570 ล้านบาท และ 627 ล้านบาท โดยคาดว่ากำไรในปี 65 จะเติบโตที่ 129% จากปีก่อน โดยหลักๆมาจากการเปิดประเทศและเปิดเมือง ทำให้ผู้ป่วยโรคซับซ้อนกลับมารับบริการมากขึ้น และได้อานิสงส์โควิด สำหรับปี 66 คาดกำไรเติบโต 10% จากการขยายฐานลูกค้าไปต่างจังหวัด และทำการตลาดมากขึ้นไปประเทศกัมพูชา, ลาว และตะวันออกกลาง
.
IMH โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 16.50 บาท มองว่าตลาดรับรู้ปัจจัยลบต่างๆไปหมดแล้ว มองว่ากำไรจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 66 และยังมี Upside Risk ในการปรับประมาณ การจากแผน M&A และสร้าง โรงพยาบาลใหม่