=== ทำไมหุ้นเล็กขึ้นง่ายกว่าหุ้นใหญ่ ===

.
สมมติว่าพรุ่งนี้เช้ามีนักลงทุน 2,000 คน ตื่นมาและตัดสินใจจะซื้อหุ้นธนาคารพาณิชย์ ทุกคนมีเงินคนละ 10,000 เหรียญสำหรับการซื้อหุ้นเท่าๆ กัน
.
นักลงทุน 1,000 คนแรกตัดสินใจซื้อหุ้น Wells Fargo Bank (WFC) สุดยอดธนาคารที่ฝ่ายบริหารพากิจการข้ามวิกฤตในปี 2008 มาได้อย่างงดงาม นักลงทุนจำนวนมากในวอลสตรีทรักหุ้นนี้ แม้กระทั่ง วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็ถือหุ้นของบริษัทอยู่จำนวนมาก หากคุณอยากเป็นเจ้าของธนาคารสักแห่ง นั่นก็คงไม่ผิดอะไรที่จะเลือกหุ้นคุณภาพดีอย่าง Wells Fargo
.
ส่วนนักลงทุนอีก 1,000 คนที่เหลือตัดสินใจลงทุนในหุ้นเด้งราคาต่ำที่ฉันแนะนำช่วงเดือนธันวาคมปี 2010 คือหุ้น Popular (POP) หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเปอร์โตริโกที่กำลังสร้างการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเงิน และพยายามกลับเข้าสู่การเป็นองค์กรที่สร้างผลกำไรอีกครั้ง
.
วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่ได้ซื้อหุ้นธนาคารนี้ แต่ จอห์น พอลสัน หนึ่งในผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากได้ตัดสินใจซื้อหุ้นนี้ด้วยจำนวนที่มีนัยสำคัญต่อบริษัท
.
.
.
สำหรับธนาคาร Wells Fargo นักลงทุนจะต้องควักกระเป๋า 10,000 เหรียญสำหรับการซื้อ 333 หุ้นที่ราคาประมาณหุ้นละ 30 เหรียญ ในวันนั้นนักลงทุน 1,000 คนจะซื้อหุ้น 333,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขายรวมในหนึ่งวันจะเป็น 10 ล้านเหรียญ
.
บริษัท Wells Fargo มีขนาด 150,000 ล้านเหรียญ และมีหุ้นมากกว่า 5,200 ล้านหุ้น แต่ละวันมีการซื้อขายหุ้นมากกว่า 37 ล้านหุ้นโดยเฉลี่ย หุ้นจำนวน 333,000 หุ้นจึงมีสัดส่วนน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการซื้อขายปกติในแต่ละวัน
.
ความต้องการขายในแต่ละวันมีล้นเกินความต้องการซื้อของเราอย่างมากมาย ผลคือการเคาะซื้อหุ้นของเราแทบจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นเลย
.
.
.
กลับมาดูที่ Popular อีกครั้ง นักลงทุนของเราทั้ง 1,000 คนจะใช้เงิน 10,000 เหรียญในการซื้อหุ้นคนละ 3,333 หุ้นที่ราคาประมาณหุ้นละ 3 เหรียญ มูลค่าการซื้อขายรวมจะเท่ากันกับ Wells Fargo ที่ 10 ล้านเหรียญ แต่ครั้งนี้พวกเราจะซื้อหุ้นรวม 3.3 ล้านหุ้นในหนึ่งวัน
.
Popular เป็นบริษัทที่มีขนาด 3,000 ล้านเหรียญและมีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 8 ล้านหุ้นต่อวัน การเคาะซื้อครั้งนี้มีปริมาณมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการซื้อขายต่อวันตามปกติ และมีค่ามากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
.
ซึ่งในกรณีของ Wells Fargo จะต้องใช้เงินจำนวน 1,500 ล้านเหรียญ หรือเท่ากับเพิ่มนักลงทุนไปอีก 14 เท่า ปริมาณความต้องการซื้อมากมายมหาศาลนี้จะกดดันความต้องการขายและดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสูงในวันเดียว
.
.
.
สถานการณ์การเริ่มต้นดีดตัวของหุ้นขนาดเล็กมักจะไม่เกิดขึ้นในวันเดียว แต่มักใช้เวลาหลายวันหรือไม่ก็เป็นสัปดาห์ ส่วนการจุดพลุที่แท้จริงของหุ้นมักเกิดในตอนที่หุ้นเริ่มมีโมเมนตัมเข้ามาหรือไม่ก็สถาบันเกี่ยวกับการลงทุนขนาดใหญ่เริ่มเข้าซื้อหุ้นแล้ว
.
เมื่อไหร่ที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทขนาด 3,000 ล้านเหรียญสัก 2-3 แสนหุ้น ราคาหุ้นก็จะร้อนแรงขึ้นมาทันที นั่นเพราะหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นของบริษัทมีจำกัด ราคาหุ้นก็เลยเคลื่อนตัวเพิ่มขึ้นไปเป็นเงาตามตัว
.
.
.
จากหนังสือ ศาสตร์แห่งหุ้นราคาต่ำกำไรโต
.
.