
ในระหว่างที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการช่วงเทศกาลสงกรานต์ วอลุ่มตลาดหุ้นภูมิภาคปิดสัปดาห์ที่แล้วก็ดูบางตา เพราะหลายตลาดปิดทำการช่วง “Good Friday” พร้อมกับแรงกดดันยังอยู่ที่เรื่องความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มความเข้มข้น เมื่อสหรัฐฯ ทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่ถล่มกลุ่มไอซิสในอัฟกานิสถาน ขณะอีกด้านของเอเชีย เกาหลีเหนือก็ยังแสดงท่าทีไม่ลดละความพยายามทดสอบนิวเคลียร์ต่อไป
อุณหภูมิหุ้นหลังสงกรานด์ดูจะร้อนขึ้นไม่แพ้กับสภาวะอากาศ แต่หลายคนแอบมีความหวังที่จะเห็น SET index ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ด้วยแรงเก็งกำไรในหุ้นบ็กแค็ปที่กำลังเตรียมทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ประเดิมด้วยงบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่นักลงทุนเล็งการฟื้นตัว สะท้อนผ่านแรงซื้อที่เข้ามาหนุนราคาหุ้นที่ผ่านมาในเดือนนี้ พร้อมกับน่าติดตามภาวะหุ้นกลุ่มพลังงาน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ขึ้นกลับมายืนใกล้กับระดับเฉลี่ยช่วงต้นปี พร้อมความหวังว่างบไตรมาสแรกจะออกมาเติบโตได้ดีเช่นกัน
ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานดูค่อนข้างสวิงนับตั้งแต่ต้นปี (+2% Year-to-date) ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมัน ส่วนฝั่งกลุ่มแบงก์ราคาหุ้นโชว์ทิศทางฟื้นตัวดีต่อเนื่อง (+10% Year-to-date)
“กสิกรไทย” ระบุว่าในช่วงวันที่ 19 - 21 เม.ย. จะเป็นช่วงที่กลุ่มธนาคารฯ ประกาศผลประกอบการ ทำให้ในช่วงหลังเปิดตลาดสงกรานต์ ( 17-18 เม.ย.) ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารฯ น่าจะเกิดการไล่เก็งกำไร ก่อนจะเกิด “Sell on fact” ในช่วงประกาศงบ ถัดจากนั้น 26-28 เม.ย.60 ก็จะเป็นการประกาศงบของวัสดุก่อสร้าง (เช่น SCC, DCC) และพลังงาน (PTTEP) ซึ่งภาพรวมตลาดในช่วงเวลานั้นน่าจะอยู่ในสภาวะเก็งกำไรผลประกอบการ และหนุนดัชนี SET ขึ้นทดสอบ 1,590 และ 1,600 จุด
“ทรีนีตี้” ออกสรุปการวิเคราะห์กลุ่มธนาคารพาณิชย์สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรก :
* SCB (Buy, TP@ Bt174) คาดกำไรไตรมาส 1/2560 ที่ 13,212 ล้านบาท (+4%Q/Q, +25%Y/Y) นักวิเคราะห์คาดมีแรงหนุนมาจากธุรกิจประกันที่ฟื้นตัว และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ส่วนสินเชื่อยังเติบโตไม่มาก ซึ่งต้องรอปัจจัยหนุนทางด้านเศรษฐกิจทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคครัวเรือน SCB จะมีปันผลอีกราว 4 บาทต่อหุ้น (ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 เม.ย.) แม้ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาจะทำให้ Upside ลดลง แต่นักวิเคราะห์คาดว่ายังเป็นระดับที่น่าสนใจหากเทียบกับแบงก์ใหญ่อื่นๆ
* TCAP (Buy, TP@ Bt53) คาดกำไรไตรมาส 1/2560 ที่ 1,495 ล้านบาท (-12% Q/Q, +11%Y/Y) นักวิเคราะห์คาดรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจตลาดทุนจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนที่อยู่ในระดับสูง ส่วนค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญคาดยังต่ำต่อเนื่อง ส่วนสินเชื่ออาจยังหดตัวเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี รวมเงินปันผล 1.20 บาท (ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 17 เม.ย. ) ทรีนีตี้มอง Upside รวมยังน่าสนใจ
* TISCO (Hold, TP@ Bt70) คาดกำไรไตรมาส 1/2560 อยู่ที่ 1,390 ล้านบาท (+8%Q/Q, +11%Y/Y) โดยสินเชื่อยังหดตัว และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยยังเติบโตไม่โดดเด่น แต่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลงต่อเนื่องยังเป็นแรงหนุน สำหรับภาพรวมปี 2560 นักวิเคราะห์มองว่าจะเห็นสินเชื่อจะกำไรโตเด่นจากการรวมพอร์ตของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เข้ามา ทรีนีตี้มองราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาสะท้อนปัจจัยบวก ทำให้ Upside ค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำเพียง “ถือ” เพื่อรับปันผล
* KTB (Hold, TP@ Bt20.70) คาดกำไรไตรมาสแรก ที่ 8,499 ล้านบาท (+14%Q/Q, +13%Y/Y) โดยสินเชื่อยังไม่โตมาก รายได้ค่าธรรมเนียมอาจลดลงเล็กน้อย และอาจเห็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในระบบดิจิตัล แต่คาดว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่หนุนกำไร อย่างไรก็ดี ทรีนีตี้มอง Upside จำกัด จึงแนะนำเพียง “ถือ” เพื่อรับปันผล จาก Dividend Yield ค่อนข้างสูง พร้อมระบุว่าอาจปรับประมาณการและคำแนะนำได้ หากมีความคืบหน้าของประเด็น AQ ที่จะช่วยให้คุณภาพหนี้โดยรวมดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกของกลุ่มพลังงาน “เคทีบี(ประเทศไทย)” ประเมินว่ากำไรของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีในไตรมาสแรก จะยังเติบโตได้โดดเด่นที่ระดับ 83,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 54.6% Q/Q เพิ่มขึ้น 39.5% Y/Y สาเหตุหลักมาจากฐานกำไรปกติที่ยังทรงตัวในระดับสูง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากเทียบกับไตรมาส 4/59 ที่อ่อนค่าลงมาก แม้ว่าบริษัทในเครือปตท.บางแห่งอาจไม่มีผลบวกจาก “Stock Gain” เข้ามาช่วยหนุนเหมือนไตรมาส 4/59 แต่ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีบางชนิดที่สูงขึ้นผิดปกติในช่วงปลายปี จนถึงเดือนมีนาคม จะช่วยหนุนให้กำไรปกติโดยรวมไม่ได้อ่อนตัวลงมาก
นักวิเคราะห์มองการที่ราคาน้ำมันดิบดูไบในไตรมาสแรก ยังมีผลบวกเชิง sentiment จากมติลดปริมาณการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันช่วงปลายปี ผลักดันให้ค่าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ช่วยหนุนพื้นฐานให้กับบริษัทผลิตและสำรวจปิโตรเลียมต้นน้ำ
ส่วนราคาถ่านหินเฉลี่ยในไตรมาส 1/60 อยู่ที่ระดับประมาณ 82 เหรียญต่อตัน ซึ่งแม้จะต่ำลงจากระดับที่สูงผิดปกติเมื่อไตรมาส 4/59 แต่ก็ยังถือว่าปรับตัวสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยหนุน BANPU ให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ จากฐานราคาที่สูงขึ้น หลังวอลุ่มที่ทำสัญญาไว้ราคาต่ำถูกขายหมดแล้ว
เคทีบีฯ คงน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเป็น “Neutral” แม้แนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มจะยังดี และราคาหุ้นบางบริษัทอ่อนตัวลงก่อนหน้านี้ทำให้ upside สูงขึ้น แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมปัจจุบันค่อนข้างผันผวน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีบางชนิดที่สูงผิดปกติเริ่มอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงแนะนำเลือกหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวหนุน อุตสาหกรรมค่อนข้างเป็นกลางหรืออยู่ในระดับที่ดีอยู่ มี upside จากราคาเหมาะสมมากอยู่ โดยปัจจุบันนักวิเคราะห์เลือก Top picks ได้แก่ IRPC และ IVL :
*IRPC (ราคาเหมาะสม 6 บาท) นักวิเคราะห์มองว่ามีความน่าสนใจจากการขยายไลน์การผลิตไปยังสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับพื้นฐานของบริษัทขึ้นเป็นอีกระดับ ขณะเดียวกันการกลับมาผลิตอย่างเต็มประสิทธิภาพหลังหยุดซ่อมบำรุงไปกว่า 2 เดือนจะช่วยพัฒนา yield ของผลิตภัณฑ์จากโครงการ UHV และทำให้แนวโน้มกำไรฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป
* IVL (ราคาเหมาะสม 43 บาท) ทรีนีตี้มองแนวโน้มกำไรปกติของบริษัทจะยืนอยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง จาก Spread ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับต่ำมาต่อเนื่องกว่า 5–6 ปี ขณะที่บริษัทฯ ขยายฐานการผลิตผ่านการซื้อกิจการจำนวนมากในช่วง 3– 4 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 คาดจะสามารถยืนในระดับสูง จะพิสูจน์ถึงเสถียรภาพด้านกำไรของบริษัทฯ และทำให้ IVL มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ด้านโบรกเกอร์ “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)” เล็งกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีโอกาสเห็นราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอีก เพราะมองว่ายังซื้อขายบนราคาไม่สูงนัก ขณะที่ผลประกอบการและกระแสฟันด์โฟลว์ที่จะไหลเข้ามาช่วงหลังสงกรานต์จะเป็นตัวแปรผลักดันหุ้นในกลุ่มนี้ต่อไป
นักวิเคราะห์เลือกหุ้นเด่น ได้แก่ PTTEP เพราะยังได้รับ sentiment จากความขัดแย้งในซีเรีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกในรอบนี้มีโอกาสขยับขึ้นแตะ 55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลได้อีกครั้ง ประกอบกับผลประกอบการก็ฟื้นตัวได้ดีทั้ง Q/Q และ Y/Y พร้อมระบุว่าปัจจัยที่ช่วยพลิกกำไรให้กับ PTTEP คือค่าเงินบาท ที่ระหว่างไตรมาสแข็งค่าขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีการบันทึกค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลงจากการแปลงค่างบการเงิน และผลักดันให้ผลประกอบการโดยรวมพลิกเป็นกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ
เมย์แบงก์ฯ คาดในระยะสั้นมีโอกาสเห็นราคาหุ้น PTTEP ขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 102 บาท ซึ่งเป็นการซื้อขายบนราคาเกิน 100 บาทอีกครั้งในรอบเกือบ 2 ปี
อีกหนึ่งหุ้นเด่นในมุมมองเมย์แบงก์ฯ คือ PTTGC จากความโดดเด่นธุรกิจปิโตรเคมี ที่ล่าสุดกำลังสร้างฐาน มีลุ้นขึ้นไปทดสอบไฮเดิม 80 บาทอีกครั้ง เพราะเชื่อว่างบไตรมาสแรก จะฟื้นตัวโดดเด่น รับอานิสงส์ Spread ปิโตรเคมีฟื้น ซึ่งทาง PTTGC มีต้นทุนการผลิตเป็นก๊าซ โดยปกติราคาก๊าซจะปรับตัวขึ้นช้ากว่าน้ำมัน ดังนั้นจะได้รับ Spread ปิโตรเคมีที่มากขึ้น โดยปัจจุบันนักวิเคราะห์แนะเก็งกำไรจากที่มองว่าหุ้นมี Upside สูง
*********************************
ที่มา Business&Finance, Money Channel