เปิด 3 เหตุผลเกิดแรงขาย เม.ย.65 ฉุดหุ้นไทยพักตัวในกรอบ 1,555-1,610 จุด

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เผยผ่านบทวิเคราะห์ประเมิน SET Index มีโอกาสพักตัวลง เกิด Sell in เม(ษา)จาก 3 เหตุผล คือ 1)
.
1. ความกังวลต่อนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯที่มีความตึงตัวสูงขึ้น ซึ่ง ประเมินว่านักลงทุนจะมีความกังวลมาขึ้นเมื่อเข้าใกล้วันประชุม FOMC ครั้งถัดไป 4 พ.ค. 65 และจะมีการขายสินทรัพย์ลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการประชุม โดยตลาดคาดการณ์ดังนี้
.
• ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สิ้นปี 65 จะอยู่ที่2.50%-2.75% โดยจะมีการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 50 bps 3 ครั้งติดต่อกันในการประชุมวันที่ 4 พ.ค. 65, 15 มิ.ย. 65, และ 27 ก.ค. 65
.
• ให้รายละเอียดการลดขนาดงบดุล ว่าจะเริ่มเมื่อไรและเริ่มเดือนละเท่าไร โดยถ้าอิงจาก Fed Minute ส าหรับการประชุมเมื่อ 15-16 มี.ค. 65 Fed จะเริ่มลดขนาดงบดุลสูงสุดที่ $9.5หมื่นล้านต่อเดือน แบ่งเป็นตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาล $6.0หมื่นล้านต่อเดือน และ MBS $3.5หมื่นล้านต่อเดือน
.
2. โอกาสการผิดนัดชำระหนี้ของรัสเซีย และ Evergrandeอยู่ในระดับสูง (Figure 4)
.
3. การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ที่สะท้อนมายัง PMI ภาคการผลิตเดือน มี.ค. 65 ที่ลดลงเหลือ 48.1 ต่ำสุดในรอบ 25 เดือน จากผลของมาตรการควบคุม COVID-19 อย่างเข้มงวด
.
Highlight สำคัญคือนโยบายของ Fed... พฤติกรรมในอดีตบอกอะไรบ้าง...
1. การขึ้นดอกเบี้ย :แม้ในอดีตตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น (Figure 1) เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยเป็นภาพสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ในครั้งนี้การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ไม่ได้มาจากภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งเป็นการทำเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร็วเกินไปกลับจะส่งผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนที่พุ่งสูงขึ้น
.
2. การลดขนาดงบดุล (QT) : แผนการลดขนาดงบดุลของ Fed ครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งก่อนหน้าค่อนข้างมาก เนื่องจากในครั้งก่อนหน้า มีระยะเวลาให้ตลาดและนักลงทุนค่อยๆปรับตัว โดยที่ Fed เริ่มทำ QT หลังจากที่ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเกือบ 2 ปี ขณะที่ครั้งนี้อาจจะมีการทำ QT หลังจากการขึ้นดอกเบี้ยไปเพียงแค่ 2-3 เดือน รวมถึงปริมาณเม็ดเงินที่ต่างกันทำให้ตลาดอาจ Shock จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินอย่างรวดเร็วได้
.
โดยสรุปคือ ประเมิน 3 ปัจจัยที่เคยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยกำลังถูกบั่นทอน ทั้ง 1) การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่ถูกกระทบจากต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบ และค่าแรงที่ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2) Valuation ที่ตึงตัว โดย PER2565 อยู่ที่ 18.3 เท่า(อิง EPS ตลาดฯปี 65 ที่ 92 บาทต่อหุ้น) คิดเป็น Earning yield 5.5% และคิดเป็น Earning yield gap 3.1% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 3.5% และกรอบบนที่ 4.0% 3) สภาพคล่องกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว จากการปรับนโยบายการเงินเป็นตึงตัวของ Fed และ ECB
.
ขณะที่ การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ BOJ และ PBOC ไม่สามารถชดเชยได้ ส่วนสภาพคล่องในประเทศเริ่มทรงตัว เพราะเงินกู้ 1.5 ล้านล้านบาทถูกใช้แล้วเกือบหมด และกำลังถูกกระทบจากหนี้ครัวเรือนที่สูง 89% ของ GDP
.
ดังนั้นแนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยไม่เกิน 50% ของพอร์ตการลงทุนรวม โดยประเมิน Downside ของ SET Index ที่กรอบ 1,555-1,610 จุด คิดเป็น Earning Yield Gap ที่3.3-3.5% แนะนำพักเงินใน Dividend +Defensive play ที่มูลค่าไม่แพงเช่น BAM, KKP, M, MAKRO, WHA (แนะนำให้กำหนดจุดStop loss และรักษาวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด)
