AI บูมเท่าไหร่ ‘ค่าไฟ’ ยิ่งพุ่ง! เปิดวาร์ป GRID กองทุนเบื้องหลังที่ AI ขาดไม่ได้
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่อง “ระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต” กันค่ะ เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า Smart Grid กันมาบ้างแล้ว แต่รู้ไหมคะว่าเราสามารถลงทุนในธีมนี้ได้ผ่านกองทุน ETF ที่ชื่อว่า GRID หรือ First Trust NASDAQ® Clean Edge® Smart Grid Infrastructure Index Fund นั่นเองค่ะ
วันนี้จะขอเล่าแบบเจาะลึกให้ฟังกันยาวๆ เลยนะคะว่ากองนี้น่าสนใจยังไง ลงทุนอะไรบ้าง และทำไมถึงเป็นเทรนด์ที่มองข้ามไม่ได้

เริ่มจากนโยบายการลงทุนของกองทุน GRID นี้กันก่อนค่ะ กองทุนนี้มีเป้าหมายหลักคือการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ชื่อว่า Nasdaq Clean Edge Smart Grid Infrastructure Index ค่ะ
โดยเขาจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือ Smart Grid นั่นเองค่ะ ซึ่งไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้าธรรมดานะคะ แต่ครอบคลุมไปถึงระบบมิเตอร์ไฟฟ้า เครือข่ายระบบส่งไฟ อุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) และซอฟต์แวร์ที่ใช้บริหารจัดการระบบไฟฟ้าทั้งหมดเลยค่ะ
ความเก๋ของกองนี้คือเขามีเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นที่ชัดเจนมาก โดยต้องเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) อย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ และมีสภาพคล่องในการซื้อขายตามเกณฑ์ที่กำหนดค่ะ นอกจากนี้ เขายังแบ่งน้ำหนักการลงทุนแบบฉลาดๆ โดยให้ 80% ของพอร์ตลงทุนในบริษัทที่เป็น "Pure Play" หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Smart Grid เป็นหลัก (มีรายได้จากส่วนนี้เกิน 50%) และอีก 20% ลงทุนในบริษัทแบบ "Diversified" หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจ Smart Grid เป็นส่วนประกอบสำคัญค่ะ
วิธีนี้ช่วยให้กองทุนได้ประโยชน์จากการเติบโตของหุ้นที่ทำธุรกิจนี้โดยตรง ในขณะที่ยังมีความมั่นคงจากบริษัทใหญ่ๆ ผสมอยู่ด้วยค่ะ
ทีนี้มาดูจุดเด่นที่ทำให้กอง GRID นี้น่าสนใจมากๆ คือการที่เขาเกาะกระแสการเปลี่ยนผ่านจากระบบไฟฟ้าแบบดั้งเดิม (Traditional Grid) ไปสู่ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ค่ะ
ถ้าเรามองย้อนกลับไป ระบบไฟฟ้าแบบเดิมในอเมริกาถูกสร้างขึ้นในยุคที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังไม่ซับซ้อนเท่าทุกวันนี้ และเป็นการส่งไฟทางเดียวจากโรงไฟฟ้าไปสู่บ้านเรือน โดยพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก แต่ในยุคปัจจุบันและอนาคต เราต้องการระบบที่ "ฉลาด" กว่านั้นค่ะ
Smart Grid คือระบบที่ส่งไฟฟ้าได้สองทิศทาง สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนอย่างลมหรือแสงอาทิตย์ที่ผลิตตามบ้านเรือนกลับเข้าสู่ระบบได้ และมีการใช้ระบบสื่อสารดิจิทัลเข้ามาช่วยบริหารจัดการให้การไหลเวียนของพลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเปรียบได้กับการปฏิวัติวงการไฟฟ้าให้เหมือนกับที่อินเทอร์เน็ตปฏิวัติวงการสื่อสารเลยล่ะค่ะ
นอกจากนี้ ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีความทนทานต่อภัยธรรมชาติได้ดีกว่า ทำให้ไฟดับน้อยลงและกู้คืนระบบได้เร็วขึ้นด้วยค่ะ
ในเรื่องของผลตอบแทน กองทุนนี้ถือว่าทำผลงานได้โดดเด่นทีเดียวค่ะ
ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2025 กองทุนนี้ได้รับเรตติ้ง 5 ดาวจาก Morningstar ในหมวด Infrastructure ซึ่งสะท้อนถึงผลงานที่ยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับความเสี่ยงค่ะ
ถ้าดูผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ทำได้สูงถึง 27.34% เลยนะคะ
และถ้าดูย้อนหลัง 1 ปี ก็บวกไป 20.08% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 27.51% ต่อปี และ 5 ปี เฉลี่ยที่ 20.41% ต่อปีค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจมากสำหรับกองทุนธีมโครงสร้างพื้นฐานแบบนี้
แม้แต่ในระยะยาว 10 ปี ก็ยังทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึง 18.27% ต่อปี แสดงให้เห็นว่าธีม Smart Grid ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่เป็นการเติบโตที่ยั่งยืนจริงๆ ค่ะ
ทำไมถึงน่าลงทุนในตอนนี้?
ต้องบอกว่าเรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานโลกเลยค่ะ ปัจจัยที่ร้อนแรงที่สุดในนาทีนี้คงหนีไม่พ้นกระแส AI Boom ค่ะ เพื่อนๆ ทราบไหมคะว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เราตื่นเต้นกันอยู่ เบื้องหลังต้องใช้พลังงานมหาศาลในการประมวลผลผ่าน Data Center ซึ่งเปรียบเสมือนสมองกลที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
ความต้องการใช้ไฟฟ้าจาก Data Center เหล่านี้กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนระบบไฟฟ้าเดิมแทบจะรองรับไม่ไหว นี่เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้โลกต้องรีบอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้าเป็นการด่วนค่ะ
เมื่อบวกกับปัจจัยเดิมอย่างการบริโภคไฟฟ้าทั่วไปที่ฟื้นตัวและเพิ่มสูงขึ้นหลังช่วงโควิด-19 และสภาพโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่เริ่มเสื่อมโทรมและเก่าแก่ ทำให้มีการคาดการณ์ตัวเลขที่น่าตกใจจาก IEA ว่าความต้องการไฟฟ้าจาก Data Center, AI และ Cryptocurrency อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าภายในปี 2026 จนแตะระดับ 1,000 TWh ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศเลยทีเดียวค่ะ
นอกจากนี้ GlobalData ยังประเมินว่าการลงทุนในระบบส่งไฟฟ้า (Transmission Investment) ทั่วโลกจะพุ่งจาก 3.7 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2025 ไปแตะที่ระดับ 5.7 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2030 เพื่อรองรับ Smart Grid ค่ะ
เม็ดเงินลงทุนมหาศาลเหล่านี้แหละค่ะคือกำไรที่จะวิ่งเข้าสู่กระเป๋าของบริษัทที่อยู่ในกองทุน GRID
นอกจากนี้ เมื่อบ้านและธุรกิจต่างๆ เริ่มใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ระบบไฟฟ้าแบบ Smart Grid ที่ตอบสนองได้แบบ Real-time จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดทางเดียวของโลกอนาคตค่ะ
แน่นอนว่าทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง
สิ่งที่ต้องระวังสำหรับกองนี้คือ "ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว" (Concentration Risk) ค่ะ เพราะกองทุนลงทุนเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Grid เท่านั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์ลบๆ กับอุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะ ก็จะกระทบพอร์ตเต็มๆ
นอกจากนี้ยังมี "ความเสี่ยงจากตลาดต่างประเทศ" เพราะกองทุนลงทุนในหุ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนและสถานการณ์ทางการเมืองในยุโรปได้ค่ะ รวมถึงความเสี่ยงของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก (Small and Mid-Cap) ที่อาจมีความผันผวนของราคามากกว่าหุ้นบริษัทใหญ่ และความเสี่ยงเฉพาะตัวของธุรกิจ Smart Grid เช่น ต้นทุนการวิจัยที่สูง หรือการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบภาครัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานได้ค่ะ
เจาะลึกหุ้น Top 10 ที่กองทุนนี้ถือครองกันค่ะ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2025) จะได้เห็นภาพชัดเจนว่าเรากำลังเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรบ้าง
เริ่มที่อันดับหนึ่ง Schneider Electric SE (8.59%) บริษัทระดับโลกจากฝรั่งเศสที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เขาทำตั้งแต่อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านไปจนถึงระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรมเลยค่ะ
ต่อมาคือ ABB Ltd. (8.12%) ยักษ์ใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์-สวีเดน ผู้นำด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบไฟฟ้า และระบบอัตโนมัติหนักๆ ที่ใช้ในโรงงาน
อันดับสาม Eaton Corporation Plc (8.12%) บริษัทจัดการพลังงานที่มีชื่อเสียงเรื่องระบบไฟฟ้า ระบบไฮดรอลิก และระบบกลไกสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
อันดับสี่ Johnson Controls International Plc (7.79%) เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมอุณหภูมิ (HVAC) ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบไฟ
อันดับห้า National Grid Plc (7.73%) บริษัทสาธารณูปโภคข้ามชาติจากอังกฤษ ดูแลระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติทั้งในอังกฤษและสหรัฐฯ ค่ะ
อันดับหก Prysmian SpA (4.22%) บริษัทอิตาลีที่เป็นผู้นำโลกด้านการผลิตสายเคเบิล ทั้งสายไฟและสายโทรคมนาคม ซึ่งสำคัญมากในการเชื่อมต่อระบบ Grid
อันดับเจ็ด Quanta Services, Inc. (4.15%) บริษัทอเมริกันที่ให้บริการรับเหมาก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและท่อส่งพลังงาน
อันดับแปด E.ON SE (3.99%) บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี เน้นเรื่องเครือข่ายพลังงานและโซลูชันลูกค้า เป็นผู้เล่นสำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของยุโรป
อันดับเก้า Hubbell Incorporated (2.70%) ผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูงสำหรับงานก่อสร้างและอุตสาหกรรม
และอันดับสิบ Tesla, Inc. (2.52%) ที่เรารู้จักกันดี นอกจากรถ EV แล้ว เทสลายังเป็นผู้นำด้าน Energy Storage และแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของระบบ Smart Grid อีกด้วยค่ะ
ถ้าคุณกำลังมองหาการลงทุนที่เกาะกระแสโลกอนาคต ที่พลังงานไฟฟ้าจะกลายเป็นหัวใจสำคัญของทุกสรรพสิ่ง และอยากกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้น AI ตรงๆ นิคกี้ว่ากองทุน GRID นี้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองมากๆ ค่ะ เพราะไม่ใช่แค่ลงทุนในโรงไฟฟ้าเดิมๆ แต่ลงทุนใน "มันสมองและเส้นเลือด" ของระบบพลังงานยุคใหม่ทั้งหมดค่ะ
เนื้อหาที่มาจาก.. Beauty Investor