วิเคราะห์มุมมองของ ทรัมป์ ต่อ เฟด / พาวเวล และผลกระทบต่อตลาดการเงินปี 2026
ช่วงปลายปี 2025 — ต้นปี 2026 มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเชิงนโยบายจาก ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ Federal Reserve (เฟด) และ Jerome Powell (พาวเวล) ซึ่งมีผลต่อ Sentiment การลงทุนโดยตรงในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น เทคโนโลยี และสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย
ข้อมูลจากคำพูด/คำประกาศของทรัมป์สามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาได้ดังนี้ครับ

..
1. ทรัมป์กำลังลอยประเด็น “ไล่พาวเวลออกจากตำแหน่ง”
ทรัมป์ไม่เพียงพูดว่าไม่ชอบพาวเวล แต่ ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะไล่ออกจากตำแหน่งหรือดันให้พ้นจากบทบาท นี่คือคำพูดที่ไม่ใช่แค่ความไม่พอใจ แต่เป็นการสื่อสารเชิงนโยบายออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ความหมายเชิงการเมือง: ทรัมป์ต้องการปรับเฟดให้เป็นไปตาม “แนวทางของเขา” มากขึ้น
ความหมายเชิงตลาด: ทำให้มีความไม่แน่นอนในฝั่งนโยบายการเงิน
การแสดงออกแบบนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนไม่คุ้น เพราะเฟดถูกออกแบบให้เป็นหน่วยงานอิสระจากการเมือง
แต่เมื่อผู้นำพยายามแตะต้องความเป็นอิสระของเฟด ก็เป็นเหตุให้ตลาดต้องคิดใหม่ถึงโครงสร้างบริหารนโยบายการเงิน
..
2. ทรัมป์ระบุว่าเฟดจะประกาศประธานใน เดือนมกราคม
ทรัมป์สื่อสารว่าการประกาศชื่อประธานเฟด จะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม
ความสำคัญของไทม์ไลน์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องชื่อ
แต่เป็น “จังหวะข่าว” ที่สามารถไล่/ปิดช่องโหว่ข่าวลือ
และอาจส่งผลต่อตลาดก่อนงบ Q4, ก่อนการคุม่เฟดปีใหม่, ก่อนดอกเบี้ยเฉลี่ยปีถัดไป
ตลาดหุ้น เทค และการประเมินอัตราดอกเบี้ยระยะยาว จะต้องตั้งคำถามว่า
ถ้าประธานเฟดไม่ได้มาจากวงใน เช่น Powell หรือชื่อที่ตลาดคาดหวัง
อาจเกิดการเปลี่ยนทิศทางนโยบายชัดเจน
..
3. ทรัมป์พิจารณาฟ้องพาวเวล
การพูดถึง ฟ้องพาวเวล ไม่ใช่การบ่นลอย ๆ
แต่เป็นการส่งสัญญาณเชิงนโยบายที่รุนแรงมาก
เหตุผลที่เขาให้คือ “เรามีคนโง่ที่เฟด” ซึ่งเป็นคำพูดที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด
และทำให้เกิดคำถามเชิงโครงสร้างสำคัญ:
ถ้าผู้นำรัฐพยายามฟ้องหัวหน้าธนาคารกลาง
มันจะบั่นทอนความเป็นอิสระของเฟด
และอาจทำให้เฟดไม่สามารถใช้เครื่องมือแบบเดิมได้เต็มที่
สำหรับตลาด นี่คือประเด็นเรื่อง risk premium (ค่าความเสี่ยง) ที่อาจขึ้น
เพราะความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินอาจเพิ่มขึ้น
..
4. “คนโปรดของผมสำหรับตำแหน่งประธานเฟดยังไม่เปลี่ยน”
แถลงนี้เป็น “คำยืนยันเชิงนโยบาย”
ทรัมป์ไม่ได้บอกชื่อ แต่สื่อถึง 3 เรื่องสำคัญ:
1. เขามีตัวเลือกในใจ
2. ยังไม่ตัดชื่อพาวเวลอย่างเด็ดขาด
3. จะประกาศเมื่อเขาคิดว่า “เหมาะสม”
ความคลุมเครือนี้เป็นดาบสองคม
เพราะถ้าตลาดไม่รู้ว่าตัวเลือกคือใคร จะมีความเสี่ยงเรื่องความคาดหวังต่ำ
แต่ถ้าตลาดได้เห็นชื่อจริง อาจเกิด “รีแอคชั่นลุกเป็นไฟ” ขึ้นมา
..
5. ผลกระทบต่อทิศทางตลาด
คำพูดเหล่านี้มี ผลเชิง Sentiment และ Asset Allocation ดังนี้
ตลาดหุ้น
• ความไม่แน่นอนมากขึ้น → Volatility เพิ่ม
• หุ้น Tech และ Growth อาจอ่อนไหว เพราะประเมินอนาคตด้วยดอกเบี้ยและ Discount Rate
• หากเฟดเปลี่ยนนโยบายกลายเป็น “ดอกเบี้ยต่ำยาว” หุ้นเทคอาจดีขึ้น
แต่ถ้าทรัมป์ลากเฟดไปในทิศทาง “กดดอกเบี้ยทันที” โดยไม่สนผลกระทบ ทำให้ Yield Curve กลับหัว/สั่นคลอน
ตลาดดอกเบี้ย
• ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเฟดหมายถึง Yield Volatility เพิ่ม
• แนวคิด “เฟดตอบสนองตามการเมือง” ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่อาจตั้งราคาดอกเบี้ยล่วงหน้าผิดเพี้ยน
• Spread ของตราสารหนี้ยาว–สั้นอาจขยายขึ้น
ค่าเงิน (USD)
• ความไม่แน่นอนของเฟดอาจทำให้ USD อ่อน/ผันผวนกว่าปกติ
• ก่อนหน้านี้ Fed เป็นเหตุผลให้ Dollar Strength
• ถ้าเฟดอิสระลดลง ความแน่นอนของเงินสหรัฐฯ ก็ลดตาม
ตลาด Crypto / Risk assets
• ความเสี่ยงด้านนโยบายเพิ่มขึ้น มักทำให้สินทรัพย์เสี่ยงมีแรงเทขาย
• แต่ถ้าเฟดถูกผลักให้ “ผ่อนคลายนโยบาย” อย่างชัดเจน ตลาดเสี่ยงก็อาจรีบาวด์ได้อีก
..
สรุปภาพรวมมุมมองนักลงทุน
ความไม่แน่นอนระดับสูง
ภาพที่ทรัมป์พยายามสื่อคือ เขาอยากควบคุมนโยบายการเงิน
และพร้อมจะใช้เครื่องมือทางกฎหมาย/การเมืองเพื่อให้ได้ตามนั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเฟดนั่นแหละคือ “ตัวกำหนดต้นทุนเงินของโลก”
ตลาดต้องตั้งคำถามใหม่
ไม่ใช่แค่ถามว่า
“เฟดจะขึ้นหรือจะคงดอกเบี้ย?”
แต่ต้องถามว่า
“เฟดจะยังเป็นอิสระไหม?”
“นักลงทุนไว้วางใจการประเมินความเสี่ยงของเฟดได้หรือไม่?”
คำถามเช่นนี้ส่งผลต่อ Risk Premium ทุกสินทรัพย์
ถ้า Trump ได้แต่งตั้งประธานเฟดในทางที่ตลาดไม่คาดหวัง
อาจเกิดการรีเทสต์ Valuation ใหม่ทั้งในหุ้นและตราสารหนี้
..
มุมมองที่เป็นกลางสำหรับนักลงทุน
ถ้าตลาดคิดว่าเฟดยังยืดหยุ่นและยังคงโหมดข้อมูลเป็นหลัก
แนวโน้มผลตอบแทนยังมีโอกาสเป็นบวก แต่ Vol ยังคงสูง
ถ้าตลาดคิดว่าการเมืองเข้าไปแทรกแซงเฟดจริง
Risk Premium จะเพิ่ม
หุ้น Tech และ Growth จะอ่อนไหว
และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง US Treasuries จะถูกมองว่าดึงดูดขึ้น
ซึ่งถ้าไม่มีข่าวชัดเจนจนถึงมกราคม
ช่วงเวลานี้อาจเป็น “ช่วงที่ตลาดมีเส้นขีดความเสี่ยงกว้างสุดปี 2026” โดยที่ทุกฝั่งต้องเฝ้าคอยข่าวสำคัญ
..
สรุปใจความ:
คำพูดของทรัมป์ไม่ใช่แค่ข่าวการเมืองธรรมดา
แต่เป็นข่าวที่ “เปลี่ยนบริบทการตีค่าการเงินโลก”
เพราะเฟดไม่ใช่ธนาคารกลางธรรมดา
มันคือศูนย์กลางความเชื่อมั่นทางการเงินของโลก
และเมื่อศูนย์กลางนั้นถูกตั้งคำถาม
ตลาดทั่วโลกก็ถูกตั้งคำถามตามไปด้วย
Disclaimer: ข้อมูลเพื่อการศึกษา ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจและยอมรับความเสี่ยงทุกกรณี
ที่มาเนื้อหาจาก.. หุ้นพอร์ทระเบิด