ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์มุมมองของ ทรัมป์ ต่อ เฟด / พาวเวล และผลกระทบต่อตลาดการเงินปี 2026

โดย สตางค์
เผยแพร่ :
22 views

วิเคราะห์มุมมองของ ทรัมป์ ต่อ เฟด / พาวเวล และผลกระทบต่อตลาดการเงินปี 2026

ช่วงปลายปี 2025 — ต้นปี 2026 มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเชิงนโยบายจาก ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ Federal Reserve (เฟด) และ Jerome Powell (พาวเวล) ซึ่งมีผลต่อ Sentiment การลงทุนโดยตรงในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น เทคโนโลยี และสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย

ข้อมูลจากคำพูด/คำประกาศของทรัมป์สามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาได้ดังนี้ครับ

..

1. ทรัมป์กำลังลอยประเด็น “ไล่พาวเวลออกจากตำแหน่ง”

ทรัมป์ไม่เพียงพูดว่าไม่ชอบพาวเวล แต่ ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะไล่ออกจากตำแหน่งหรือดันให้พ้นจากบทบาท นี่คือคำพูดที่ไม่ใช่แค่ความไม่พอใจ แต่เป็นการสื่อสารเชิงนโยบายออกมาอย่างตรงไปตรงมา

ความหมายเชิงการเมือง: ทรัมป์ต้องการปรับเฟดให้เป็นไปตาม “แนวทางของเขา” มากขึ้น

ความหมายเชิงตลาด: ทำให้มีความไม่แน่นอนในฝั่งนโยบายการเงิน

การแสดงออกแบบนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนไม่คุ้น เพราะเฟดถูกออกแบบให้เป็นหน่วยงานอิสระจากการเมือง

แต่เมื่อผู้นำพยายามแตะต้องความเป็นอิสระของเฟด ก็เป็นเหตุให้ตลาดต้องคิดใหม่ถึงโครงสร้างบริหารนโยบายการเงิน

..

2. ทรัมป์ระบุว่าเฟดจะประกาศประธานใน เดือนมกราคม

ทรัมป์สื่อสารว่าการประกาศชื่อประธานเฟด จะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม

ความสำคัญของไทม์ไลน์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องชื่อ

แต่เป็น “จังหวะข่าว” ที่สามารถไล่/ปิดช่องโหว่ข่าวลือ

และอาจส่งผลต่อตลาดก่อนงบ Q4, ก่อนการคุม่เฟดปีใหม่, ก่อนดอกเบี้ยเฉลี่ยปีถัดไป

ตลาดหุ้น เทค และการประเมินอัตราดอกเบี้ยระยะยาว จะต้องตั้งคำถามว่า

ถ้าประธานเฟดไม่ได้มาจากวงใน เช่น Powell หรือชื่อที่ตลาดคาดหวัง

อาจเกิดการเปลี่ยนทิศทางนโยบายชัดเจน

..

3. ทรัมป์พิจารณาฟ้องพาวเวล

การพูดถึง ฟ้องพาวเวล ไม่ใช่การบ่นลอย ๆ

แต่เป็นการส่งสัญญาณเชิงนโยบายที่รุนแรงมาก

เหตุผลที่เขาให้คือ “เรามีคนโง่ที่เฟด” ซึ่งเป็นคำพูดที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด

และทำให้เกิดคำถามเชิงโครงสร้างสำคัญ:

ถ้าผู้นำรัฐพยายามฟ้องหัวหน้าธนาคารกลาง

มันจะบั่นทอนความเป็นอิสระของเฟด

และอาจทำให้เฟดไม่สามารถใช้เครื่องมือแบบเดิมได้เต็มที่

สำหรับตลาด นี่คือประเด็นเรื่อง risk premium (ค่าความเสี่ยง) ที่อาจขึ้น

เพราะความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินอาจเพิ่มขึ้น

..

4. “คนโปรดของผมสำหรับตำแหน่งประธานเฟดยังไม่เปลี่ยน”

แถลงนี้เป็น “คำยืนยันเชิงนโยบาย”

ทรัมป์ไม่ได้บอกชื่อ แต่สื่อถึง 3 เรื่องสำคัญ:

1. เขามีตัวเลือกในใจ

2. ยังไม่ตัดชื่อพาวเวลอย่างเด็ดขาด

3. จะประกาศเมื่อเขาคิดว่า “เหมาะสม”

ความคลุมเครือนี้เป็นดาบสองคม

เพราะถ้าตลาดไม่รู้ว่าตัวเลือกคือใคร จะมีความเสี่ยงเรื่องความคาดหวังต่ำ

แต่ถ้าตลาดได้เห็นชื่อจริง อาจเกิด “รีแอคชั่นลุกเป็นไฟ” ขึ้นมา

..

5. ผลกระทบต่อทิศทางตลาด

คำพูดเหล่านี้มี ผลเชิง Sentiment และ Asset Allocation ดังนี้

 

ตลาดหุ้น

• ความไม่แน่นอนมากขึ้น → Volatility เพิ่ม

• หุ้น Tech และ Growth อาจอ่อนไหว เพราะประเมินอนาคตด้วยดอกเบี้ยและ Discount Rate

• หากเฟดเปลี่ยนนโยบายกลายเป็น “ดอกเบี้ยต่ำยาว” หุ้นเทคอาจดีขึ้น

แต่ถ้าทรัมป์ลากเฟดไปในทิศทาง “กดดอกเบี้ยทันที” โดยไม่สนผลกระทบ ทำให้ Yield Curve กลับหัว/สั่นคลอน

 

ตลาดดอกเบี้ย

• ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเฟดหมายถึง Yield Volatility เพิ่ม

• แนวคิด “เฟดตอบสนองตามการเมือง” ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่อาจตั้งราคาดอกเบี้ยล่วงหน้าผิดเพี้ยน

• Spread ของตราสารหนี้ยาว–สั้นอาจขยายขึ้น

 

ค่าเงิน (USD)

• ความไม่แน่นอนของเฟดอาจทำให้ USD อ่อน/ผันผวนกว่าปกติ

• ก่อนหน้านี้ Fed เป็นเหตุผลให้ Dollar Strength

• ถ้าเฟดอิสระลดลง ความแน่นอนของเงินสหรัฐฯ ก็ลดตาม

 

ตลาด Crypto / Risk assets

• ความเสี่ยงด้านนโยบายเพิ่มขึ้น มักทำให้สินทรัพย์เสี่ยงมีแรงเทขาย

• แต่ถ้าเฟดถูกผลักให้ “ผ่อนคลายนโยบาย” อย่างชัดเจน ตลาดเสี่ยงก็อาจรีบาวด์ได้อีก

..

สรุปภาพรวมมุมมองนักลงทุน

ความไม่แน่นอนระดับสูง

ภาพที่ทรัมป์พยายามสื่อคือ เขาอยากควบคุมนโยบายการเงิน

และพร้อมจะใช้เครื่องมือทางกฎหมาย/การเมืองเพื่อให้ได้ตามนั้น

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเฟดนั่นแหละคือ “ตัวกำหนดต้นทุนเงินของโลก”

 

ตลาดต้องตั้งคำถามใหม่

ไม่ใช่แค่ถามว่า

“เฟดจะขึ้นหรือจะคงดอกเบี้ย?”

แต่ต้องถามว่า

“เฟดจะยังเป็นอิสระไหม?”

“นักลงทุนไว้วางใจการประเมินความเสี่ยงของเฟดได้หรือไม่?”

คำถามเช่นนี้ส่งผลต่อ Risk Premium ทุกสินทรัพย์

ถ้า Trump ได้แต่งตั้งประธานเฟดในทางที่ตลาดไม่คาดหวัง

อาจเกิดการรีเทสต์ Valuation ใหม่ทั้งในหุ้นและตราสารหนี้

..

มุมมองที่เป็นกลางสำหรับนักลงทุน

ถ้าตลาดคิดว่าเฟดยังยืดหยุ่นและยังคงโหมดข้อมูลเป็นหลัก

แนวโน้มผลตอบแทนยังมีโอกาสเป็นบวก แต่ Vol ยังคงสูง

 

ถ้าตลาดคิดว่าการเมืองเข้าไปแทรกแซงเฟดจริง

Risk Premium จะเพิ่ม

หุ้น Tech และ Growth จะอ่อนไหว

และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง US Treasuries จะถูกมองว่าดึงดูดขึ้น

 

ซึ่งถ้าไม่มีข่าวชัดเจนจนถึงมกราคม

ช่วงเวลานี้อาจเป็น “ช่วงที่ตลาดมีเส้นขีดความเสี่ยงกว้างสุดปี 2026” โดยที่ทุกฝั่งต้องเฝ้าคอยข่าวสำคัญ

..

สรุปใจความ:

คำพูดของทรัมป์ไม่ใช่แค่ข่าวการเมืองธรรมดา

แต่เป็นข่าวที่ “เปลี่ยนบริบทการตีค่าการเงินโลก”

เพราะเฟดไม่ใช่ธนาคารกลางธรรมดา

มันคือศูนย์กลางความเชื่อมั่นทางการเงินของโลก

และเมื่อศูนย์กลางนั้นถูกตั้งคำถาม

ตลาดทั่วโลกก็ถูกตั้งคำถามตามไปด้วย

 

Disclaimer: ข้อมูลเพื่อการศึกษา ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจและยอมรับความเสี่ยงทุกกรณี

 

ที่มาเนื้อหาจาก..  หุ้นพอร์ทระเบิด


สตางค์