‘ดีบีเอส’ สแกน ‘หุ้นไทย’ เหลือ1,000จุด แรงบีบ ‘ภาษีทรัมป์36%‘
ท่ามกลางกระแสลมแรงของสงครามภาษีโลกที่กำลังถูกจุดชนวนโดยนโยบาย "ภาษีทรัมป์" และ“ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ”

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ชี้ว่าปี 2568 จะเป็นปีแห่ง “การตั้งรับอย่างมีกลยุทธ์” สำหรับตลาดหุ้นไทย ด้วยเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มโตเพียง 1.8% และความเสี่ยงที่อาจลดลงเหลือ 1% หากเผชิญภาษีทรัมป์ในระดับรุนแรง
ภายใต้ภาพรวมที่ท้าทายนี้ ดีบีเอส แนะกลยุทธ์ “ทยอยสะสมหุ้นปลอดภัย” ในกลุ่มที่มีรายได้มั่นคง ไม่รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า พร้อมกระจายพอร์ตลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศและสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อรับมือกับความผันผวนทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาว จันทร์เพ็ญ ศิริธนารัตนกุล กรรมการบริหารอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงวันนี้ (17 ก.ค.) จากนักลงทุนยังคาดหวังว่าภาษีทรัมป์ ( US tariff ) ของไทยจะต่ำกว่า 36% อย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งเวียดนาม และฟิลิปปินส์บรรลุข้อตกลงภาษีฯที่ 20% และอินโดฯ 19%) และทรัมป์ยืนยันว่า ไม่มีแผนปลดนายเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานเฟด
ทั้งนี้ ดีบีเอส ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ โต 1.8% ภายใต้สมมติฐาน อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ เก็บไทยที่18-20% และมีมุมมองดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ระดับ 1,300 จุด
แต่หากกรณีเลวร้าย ไทยยังโดนเก็บภาษีทรัมป์ที่ 36% จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโตเหลือ 1 % ในปีนี้และถึงปีหน้ายังมีดาวน์ไซด์ ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ มีความเสี่ยงปรับลงมาที่ระดับ 1,000 จุด ซึ่งยังไม่นับรวมความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองในประเทศในระยะข้างหน้า จากปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวระดับ 1,100-1,200จุด
นางสาวจันทร์เพ็ญ มองว่า ไทยจะน่าจะได้อัตราภาษีทรัมป์ที่ต่ำกว่า36% แต่ยังต้องติดตามการเจรจาภาษีทรัมป์ว่าจะได้เท่ากับหรือต่ำกว่า ประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่
ขณะเดียวกันรอความชัดเจนปัจจัยการเมืองในประเทศ จะเกิดขึ้นในเดือน ส.ค.และก.ย. รวมถึงในเดือน ส.ค.จะมีการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสเกิดขึ้นในเดือนส.ค. จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทย ซึ่งตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักหุ้นไทยติดต่อกัน แต่ขณะนี้ได้มีการสอบถามเข้ามา
เก็บสะสมหุ้นปลอดภัย
ดีบีเอส มีกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาในระดับที่น่าสนใจและหุ้นบางตัวยังมีผลการดำเนินงานรายได้และกำไรเติบโตดี ไม่ได้รับผลกระทบภาษีทรัมป์ชัดเจน พิจารณาเลือกหุ้นปลอดภัยและทยอยสะสมช่วงนี้ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก(CPALL COM7 OSP ) กลุ่มเทเลคอม (ADVANC DIF) กลุ่มโรงพยาบาล (PR9 BDMS) กลุ่มพลังงาน (BCP GULF) กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC) กลุ่มรีท(YIFF WHART FTREIT)
นอกจากนี้ ด้วยภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ ชะลอตัว และภาษีทรัมป์ทำให้ส่งออกชะลอและท่องเที่ยวต่ำกว่าคาด ดีบีเอส มองว่า ดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเรื่อง โดยมีโอกาสปรับลงในไตรมาส3/2568 1 ครั้ง ราว 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.5% และ
ปีหน้าแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายยังลงต่อเนื่องอีก2ครั้ง ในไตรมาส1และไตรมาส 2 ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ระดับ 1% แต่หากเศรษฐกิจไทยปีนี้ออกมาแย่กว่าคาดอาจปรับลดดอกเบี้ยลงมาจาก 1 เป็น2ครั้งและในปีหน้าจาก 2ครั้งเหลือ 1 ครั้ง ได้เช่นกัน
ขณะที่บัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลได้อยู่แม้การนำเข้าส่งออกได้รับผลกระทบ และปัจจัยหลักจะมาจากรัฐบาลจีนเปิดช่องให้ค่าเงินหยวนแข็งค่า หนุนค่าเงินเอเชียแข็งค่าขึ้นตามด้วย ทำให้ทิศทางเงินบาท ยังมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่องได้ สิ้นปีนี้มองที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ และแข็งค่าที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ในปีหน้า
ปรับกลยุทธ์กระจายพอร์ตลงทุนต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามแนะจัดพอร์ตลงทุนกระจายความเสี่ยงในต่างประเทศ มองนโยบายของทรัมป์ จุดชนวนสงครามภาษีระดับโลก รวมทั้งความไม่ชัดเจนด้านนโยบาย และความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านการคลังสหรัฐ ได้สร้างความเสี่ยงต่อสินทรัพย์ทั่วโลกในระยะข้างหน้า แม้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกสามารถฟื้นตัวแข็งแกร่งในไตรมาส 2/2568
นายเวย์ ฟุก โหว Chief Investment Office DBS กล่าวว่า ดีบีเอส ปรับกลยุทธ์ คงน้ำหนัก Neutral ในตลาดหุ้นคาดว่า ผลตอบแทนจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค และกลุ่มอุตสาหกรรม ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ ขณะที่กลุ่มบริการ มีแนวโน้มเติบโตดีกว่ากลุ่มที่เน้นสินค้า ซึ่งในระยะสั้นลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐลงราว2-3% จากสัดส่วนการลงทุน60%ของพอร์ต และปรับลดน้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลในตลาดพัฒนแล้ว (DM) สู่ระดับ Neutral จากความกังวลด้านการคลังและและเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง
ยังคงเพิ่มน้ำหนัก ( Overweight ) ลงทุนหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญุี่ปุ่น) รวมถึงหุ้นยุโรป มีมูลค่าที่ดึงดูดและมีปันผล พร้อมกันนี้เพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทอคำ และและสินทรัพย์นอกตลาดที่สามารถสร้างรายได้ประจำ เพื่อเสริมความแข็งแรงของพอร์ตในยุคที่โลกเริ่มเปลี่ยนผ่าน จากการพึ่งพาสินทรัพย์การเงินของสหรัฐฯ
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1189987