โดย Greenman
เผยแพร่ : 
70 viewsบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ในบทวิเคราะห์ว่าประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 ที่ 2,356 ล้านบาท (+2,150% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ+ 123% จากไตรมาสก่อน) และประเมินรายได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 8,613ล้านบาท (+186% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ +77% จากไตรมาสก่อน)
จากราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.12 บาทต่อชิ้น เพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาสก่อน จากเดิมราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 2/2563 ที่ 0.66 บาทต่อชิ้น ส่งผลให้คาด Gross Profit Margin ปรับตัวดีขึ้นเป็น 35% (+581 bps) นอกจากนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปที่สถานการณ์กลับมาย่ำแย่อีกครั้ง โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 300,000 คนต่อวัน (ขณะที่เดือนก.ค.-ส.ค.63 ผู้ติดเชื้อรายวันประมาณ 250,000 คนต่อวัน) ถือเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ที่มีการระบาด เป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการถุงมือยางยังสูงขึ้นต่อเนื่องและสอดคล้องกับมูลค่าการส่งออกถุงมือยางของประเทศไทยเดือนสิงหาคม 2563 เพิ่มขึ้น 175% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 26% จากเดือนก่อนหน้า
*ราคาพื้นฐาน 116 บาท
ขณะที่คงกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 5,747 ล้านบาท (+806% จากช่วงเดียวกันปีก่อน) โดยคาดราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางปี 2563 อยู่ที่ 0.90 บาทต่อชิ้น และ GPM อยู่ที่ 29% ขณะที่ครึ่งปีหลัง 2563 ยังมีแนวโน้มการเติบโตจากครึ่งปีแรก จากราคาขายถุงมือยางที่เพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาสก่อน จาก Demand ของถุงมือยางที่ยังคงขยายตัว
และคงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 6,132 ล้านบาท (+7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน) โดยคาดราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางปี 2564 อยู่ที่ 0.90บาทต่อชิ้น เนื่องจากเราคาดวัคซีน COVID-19 สามารถใช้ได้ในปี 2564 และคาดจะทำให้ราคาขายถุงมือยางจะปรับตัวลดลงจากราคาขายในไตรมาส 4/2563
ทั้งนี้ประเมินราคาเป้าหมายที่ 116 บาท อิง PER ปี 2563 ที่ 29เท่า เทียบเท่า +1SD above 5-yr average PER ของ peer (4 ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย) ขณะที่ความเสี่ยง คือความคืบหน้าการเริ่มใช้วัคซีนแม้ว่ายังมีความไม่แน่นนอนสูง แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในอนาคต ทำให้มองว่า STGT ควรเทรดที่ระดับ +1SD above 5-yr average PER ของ peer
*เร่งอัพกำลังผลิตใหม่
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า จากความต้องการถุงมือยางที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทได้ปรับแผนการลงทุน โดยเร่งเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเร็วกว่าแผนเดิม เป็นประมาณ 70,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2569 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่กว่า 32,600 ล้านชิ้นต่อปี โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 24,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้มีออเดอร์ถุงมือยางธรรมชาติที่ต้องผลิต เพื่อส่งมอบถึงช่วงปลายปี 2564ส่วนถุงมือยางไนโตรล์ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ มีออเดอร์ที่ต้องส่งมอบถึงต้นปี 2565
