แนวคิดที่ 1 รู้เขารู้เรา
ก่อนเล่นหุ้นลงทุนในตลาดหุ้นผมต้องขออนุญาตถามท่านก่อนครับว่า ท่านรู้จักตัวตนของตัวเองมากน้อยเพียงใด เงินในกระเป๋าที่พร้อมสู้หุ้นมีเท่าไร แยกแยะหรือยังระหว่างเงินออม เงินใช้ครัวเรือน เงินเล่นหุ้น เพราะ หากเราไม่รู้แบ่งแยกจัดสรรเงินเป็นสัดเป็นส่วนแล้วเราเองนั้นละครับคงต้องแย่แน่ๆ เรื่องหุ้นนั้นมีความเสี่ยงถ้านำเงินที่มีอยู่ทั้งก้อนมาใส่ในตลาดหุ้นทั้งหมดมีหวังบั้นปลายชีวิตมีสิทธินั่งบนสะพานลอยครวญเพลงวณิพกแน่ครับ ตรงนี้เรื่องเงินในกระเป๋าเราคงต้องรู้และต้องจัดสรรให้เป็น ความรู้เรื่องตลาดทุนเราเองนั้นมีมากน้อยเพียงใด หากมีความรู้สึกนึกคิดเพียงว่าอยากเข้าตลาดหุ้นเพราะเห็นเป็นเรื่องท้าทาย มีได้มีเสีย เลยอยากลอง คนที่คิดอย่างนี้มีสิทธิมาเร็วไปเร็วครับ เพราะตัวเองไม่รู้เรื่องหุ้นเลย ไม่ได้ค้นคว้าศึกษาให้เข้าใจท่องแท้มาก่อน การเข้าตลาดหุ้นหากไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองนั้นมีความพร้อมมากน้อยเพียงใดอย่างนี้ลำบากครับ นอกเหนือจากที่ต้องรู้ตัวเองแล้วว่าเรามีความเก่งกล้าสามารถเพียงใดมีเงินสู้มากน้อยแค่ไหน เรานั้นยังจำเป็นอย่างยิ่งครับที่ต้องรู้ผู้อื่นที่อยู่ในวังวนของแวดวงหุ้นด้วย โดยต้องรู้ให้ลึก และต้องรู้จริงด้วยครับ เช่นบริษัทจดทะเบียนมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรมีอนาคตสดใสหรือแย่กันแน่ พวกสถาบันทั้งไทยต่างชาติเขามีทีท่าจะเล่นหุ้นไปในทิศทางใด ซื้อหรือขายมากกว่ากัน มือใหญ่เขาคิดอย่างไร ถ้าเราสามารถรู้เขาและมองเห็นตัวเราได้เช่นนี้แล้ว เชื่อได้เลยครับ แค่นี้ก็เป็นต่อแล้ว

แนวคิดที่ 2 เฝ้าตามกระแสข่าว
ทิศทางการเคลื่อนไหวของแนวโน้มหุ้น ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง ส่วนใหญ่ก็เกาะติดอยู่กับกระแสข่าวที่เป็นปัจจัยกระทบทั้งภายในภายนอกประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และตัวบริษัทจดทะเบียน ดังนั้นเราเองปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า เราจะไม่นำเรื่องของข่าวมาอิงต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือกับการเล่นหุ้น พูดไปแล้วเรื่องข่าวนั้นมีทั้งข่าวลือข่าวลวงข่าวล่อ ข่าวหลอกข่าวเท็จ ข่าวจริง เราเองก็คงต้องใช้หลักพิจารณาเช่นกันครับว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนปลอม แต่สิ่งที่สำคัญเบื้องต้นที่เราเองคงหันหลังหนีไม่ได้คือต้องพยายามแสวงหาข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ นำมาบริโภคอย่างไม่หยุดเว้น เพื่อทำให้หูตาของเรากว้างไกล ทั้งยังรู้ก่อน รู้ทันและรู้ลึกและรู้จริงไม่ตกขบวนรถ สามารถเล่นหุ้นตามชาวบ้านทันได้ละครับ อย่างน้อยที่สุดหากเราเป็นผู้หนึ่งที่คอยเฝ้าติดตามกระแสข่าว เราก็คงไม่มึนงงต่อการเคลื่อนไหวของตลาดและตัวหุ้นกับการขับเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง นั้นก็เท่ากับว่าเราคงสามารถเล่นหุ้นได้ทันเกมทันลดความเสี่ยงคว้ากำไรมาเชยชมได้แน่ครับ

แนวคิดที่ 3 อย่าป่าวร้องสิ่งที่ตนเองทำ
คนเล่นหุ้น คนลงทุนในตลาดทุนที่ประสบความสำเร็จคนพวกนี้มักมีบุคลิกประจำตัวอย่างหนึ่งครับ คือ สุขุม รอบคอบ สงบนิ่ง เงียบ วางเฉย จะบอกว่าแปลกก็ไม่เชิงครับ เพราะที่จริงการลงทุนการเล่นหุ้นคงต้องใช้สติสมาธิมากเป็นพิเศษพอควรทีเดียวละครับ หากเราเล่นหุ้นไร้สติ สมาธิไม่อยู่กับร่องกับรอย การตัดสินใจแต่ละรอบคงออกป่าออกทะเลหลงทิศผิดทางแน่ครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดี นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จคงต้องยึดหลัก ทำตัวนิ่งๆไว้จะกำไรงาม ดังนั้นจึงไม่ควรไปป่าวร้องประกาศบอกว่าตัวเองซื้อหุ้นอะไร ขายหุ้นอะไร เล่นหุ้นร่ำรวยกำไรมากน้อยแค่ไหน โดนหุ้นตัวใดกินขาดทุนไปมากน้อยเท่าไร เรื่องอย่างนี้ต้องเก็บเงียบเอาไว้ครับ เพราะมีแต่จะเสียกับตัวเราเอง ถ้าเราไปคุยได้กำไรแน่นอนครับมีคนอิจฉา และเสียงกระซิบนินทาย่อมตามมาแน่ แม้แต่เราคุยว่าขาดทุน ก็ต้องมีคนคอยสมน้ำหน้าอีกนั้นละครับ ทางที่ดีนิ่งๆ ไว้ดีที่สุด สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากทีสุดอีกประการหนึ่ง คือการชักชวนคนอื่นให้ซื้อหรือขายหุ้นตาม โดยไปป่าวร้องว่าเราจะซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นตัวนี้ รวมถึงไปพูดคุยอธิบายถึงจุดดีจุดแย่เพื่อให้คนฟังคล้อยตาม เรื่องอย่างนี้เป็นสิ่งที่อาจทำให้ผู้ที่ไปป่าวร้องชักชวนให้ผู้คนมาเล่น ต้องกลายมาเสียคนซะเอง สู้อยู่เฉย ๆ ตัวเองทำอะไรซื้อขายหุ้นตัวไหนเก็บไว้เงียบ ๆ เป็นความลับ กำไรขาดทุนรับรู้เพียงตัวเองสมาธิก็ดี มีสติจะได้เล่นหุ้นกำไรเยอะๆ ไม่ต้องไปสติเสียสติแตกเพราะต้องมารับผิดชอบคำพูดของตัวเองทีหลังอีกถ้าหากครับ

แนวคิดที่ 4. อย่าตอกย้ำความเจ็บปวด
ลงทุนในตลาดทุนย่อมมีได้มีเสียครับ อย่างที่เขาว่าไว้นั้นละ “ การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงจึงควรพีงระวัง” ดังนั้นผู้ที่เล่นหุ้นคงไม่มีใครเล่นได้ทางเดียวแน่ครับ การขาดทุนในตลาดหุ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ใครที่ขาดทุนหุ้นแต่ละรอบแต่ละครั้งจึงไม่จำเป็นต้องไปย้ำคิดย้ำจำตอกย้ำความเจ็บปวดให้คงอยู่ยาวนาน เพราะมันคงไม่มีประโยชน์อะไร ซ้ำอาจเป็นสิ่งที่สะกิดใจทำให้ขาดความเชื่อมั่นได้ ไม่มีความมั่นอกมั่นใจหรือความพร้อมที่จะสู้หุ้นอย่างมีหลัก ทำอะไรก็จะกลายเป็นกลัวไปหมดครับ บางคนถึงกับขยาดเข็ดเขี้ยวและฝังจำกับหุ้นตัวที่ทำให้เจ็บปวดขาดทุน แม้หุ้นตัวดังกล่าวจะมีปัจจัยแปรเปลี่ยนจากเลวเป็นดีแล้วก็ตาม ถ้าคนที่ไม่ยอมสลัดความนึกคิดที่เจ็บปวดทิ้งไป เขาก็จะพลาดโอกาสที่ดีในหุ้นตัวนั้นไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง คนที่รวยด้วยหุ้นได้เขามักไม่ยึดติดกับเรื่องราวในอดีตมากนักโดยเฉพาะกับสิ่งที่เป็นความเจ็บปวด แต่เขาจะมองไปเบื้องหน้าคิดหาหนทางสร้างโอกาสแสวงหากำไรโดยปราศจากความกลัวจากอดีตอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะพลิกผันนำอดีตมาศึกษาเป็นบทเรียนเพื่อหนทางที่จะพัฒนากลวิธีในการลงทุนต่อไปสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า การตอกย้ำความเจ็บปวดในอดีตจนเกิดความกลัวไม่สิ้นสุดครับ

แนวคิดที่ 5. อย่าด่วนซื้อเร็วขายไว
การซื้อขายหุ้นย่อมไม่เหมือนกับการที่เราเข้าไปหาซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตนะครับ ที่สะดวกซื้อสะดวกขาย อยากได้อะไรก็หยิบเอาหยิบเอา แต่จะต่างกันอยู่ก็ตรงที่ว่า การซื้อหุ้นนั้นเราซื้อเพื่อการขายต่อในราคาที่แพงกว่า หรือ เราขายหุ้นก็เพื่อที่จะไปซื้อคืนภายหลังที่ราคาต่ำกว่าครับ แต่การซื้อของในซุปเปอร์ฯ ซื้อเพื่อมาใช้ ฉะนั้นการซื้อขายหุ้นจึงต้องมีการตัดสินใจอย่างรอบครอบรัดกุมไม่บุ่มบ่าม จีงไม่จำเป็นต้องรีบซื้อรีบขาย การเร่งรีบที่จะซื้อหรือขายหุ้นอาจทำให้เราต้องไปซื้อหุ้นแพงเกินเหตุขายหุ้นต่ำเกินจริงได้ มีอยู่หลายหนหลายครั้งครับที่คนขายหุ้นเร็วมักเสียดายเพราะขายหุ้นแล้วหุ้นขึ้น พอรีบซื้อได้ของมาหุ้นมักตก เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยมากครับในตลาดหุ้นบ้านเรา เพราะการตัดสินใจที่รวดเร็วภายใต้อารมณ์โดยที่ไม่ได้ประเมินวิเคราะห์หรือพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ทำให้ไม่สามารถเก็บรายละเอียดหรือเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงได้ แม้บางครั้งตลาดหุ้นเกิดภาวะตื่นตกใจจากปัจจัยกระทบที่รุนแรงเรามักเห็นราคาหุ้นไหลลงเร็วและลึกในจังหวะที่เกิดภาวะตื่นตระหนก แต่พอเวลาผ่านไปยังไม่ทันสิ้นวัน ราคาหุ้นก็ปรับตัวดีดกลับอย่างเร็วเช่นกัน ใครที่ขายหุ้นเร็วเพราะตกใจมักกลายเป็นเหยื่อขายต่ำเสมอครับ ดังนั้นทุกครั้งที่จะซื้อหุ้นหรือขายหุ้นควรพิจารณาบนหลักคิดถึงปัจจัยพื้นฐานของหุ้นและเข้าถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้น ๆ ให้ได้ก่อน โดยยอมเสียเวลาไม่ต้องเร่งรีบด่วนซื้อขาย เพียงแค่นี้เราก็จะไม่พลาดท่าเสียทีตลาดครับ

แนวคิดที่ 6 ต้องเข้าใจสภาพตลาด
ร้อยทั้งร้อยครับสำหรับคนเล่นหุ้นหากไม่เข้าใจสภาพตลาดที่แท้จริงของหุ้นได้แล้ว ผมรับรองได้เลยว่า รบครั้งใดก็พ่ายทุกรอบละครับ เพราะแท้จริงของสภาพตลาด ย่อมบ่งบอกถึงแนวโน้มทิศทางหุ้นได้ดีครับ เช่นสภาพตลาดตอนนี้ตกอยู่ในอาการซึมตัว เหตุเพราะนักลงทุนขาใหญ่ขาดความเชื่อมั่น ถ้าสภาพตลาดเกิดอาการอย่างที่ว่านี้ หากเราดันทุรังซื้อหุ้นลุยถั่วอยู่คนเดียว คนอื่นไม่เล่นด้วยสุดท้ายเราก็หมดแรงครับ หากภาวะตลาดดูสดใสคึกคัก วอลุ่มเทรดพุ่งกระฉูด สภาพตลาดอย่างนี้ดูดีดูโดดเด่น ถ้าเราไม่เข้าร่วมลงเล่นด้วยก็อาจกลายเป็นผู้ที่ตกรถ ตกขบวนเล่นตามชาวบ้านชาวช่องไม่ทัน หรือสภาพตลาดกำลังเข้าสู่ทิศทางขาลง เราเกิดมองตลาดไม่เป็น ซ้ำไม่เข้าใจสภาพตลาดที่แท้จริงซะอีก เรียกว่าชอบเป็นชาวสวน เล่นสวนกระแสสวนทางปืนตลอด อย่างนี้ก็มีโอกาสเจ็บตัวมีความเป็นไปได้มากทีเดียวครับ ความเข้าใจในสภาพของตลาดหุ้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งครับ สำหรับชาวหุ้นที่ต้องรู้ต้องประเมิน ต้องกำหนดทิศทาง แนวโน้ม มองสภาพตลาดหุ้นให้ออก นักเล่นหุ้นผู้ใดที่สามารถเข้าถึงสภาพตลาดได้ เรื่องที่จะมองหาหุ้นเพื่อหวังผลในการทำกำไรในสภาพตลาดที่ตนเองประเมินออกย่อมได้เปรียบผู้อื่น และสามารถลดความเสี่ยงการเล่นหุ้นได้ในระดับที่น่าพอใจเชียวละครับ

แนวคิดที่ 7. ต้องปราศจากกิเลส จริง ๆ
เรื่องกิเลสกับตลาดหุ้นดูแล้วไม่ห่างไกลกันเท่าไรหรอกครับ เพราะคนที่เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากตลาดทุนทุกคนคงจะปฏิเสธลำบากครับว่า ตัวเองหมดกิเลส ไม่มีความต้องการในสิ่งใด ๆ ทั้งหลายทั้งปวงจากตลาดทุนแล้ว ผู้คนที่เดินหน้าเข้าสู่ตลาดทุน ส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในวังวนอาการเดียวกันทั้งนั้นครับ คือ หวังทำมาหากำไรจากตลาดทุนด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่แนวคิดพิชิตหุ้นข้อนี้ หวังแค่ให้ท่านทั้งหลายลด ละ เลิก ตัด ตัวกิเลสออกจากตัวเองบ้าง เนื่องเพราะ ไอ้ตัวกิเลส นี่ละครับมันจะเป็นตัวคอยปิดบังความคิดความอ่านในการเล่นหุ้นให้อยู่ในกรอบที่แคบที่จำกัด ซึ่งจะทำให้ บุคคล ๆ นั้นไม่สามารถปรับตัวเอง หรือพลิกเกมตามภาวะตลาดที่แท้จริงได้ทัน ตัวกิเลส จะเป็นตัวที่ทำให้ คนเล่นหุ้นเกิดความต้องการไม่รู้จักจบสิ้น ได้แล้ว อยากได้ให้เยอะ ๆ ขึ้นอีก เสียแล้วก็อยากชนะ เห็นคนนั้นรวยหุ้น ได้กำไรหุ้น ตัวเองอยากได้บ้างมีความคิดหวังเป็นอย่างเขา เมื่อตัวกิเลสครอบงำ ความเป็นตัวตนของตนย่อมหมดไปครับ ที่นี้ก็จะเล่นหุ้นมั่วไปหมด ขาดเหตุขาดผล ไร้สติไร้สำนึก ใช้อารมณ์ตามกิเลส สุดท้ายก็โดนหุ้นกินครับ การเล่นหุ้นที่ดีจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมตนเอง อย่าได้ให้ กิเลสเข้ามามีอิทธิพลเหนือตัวตนของเราครับ นั้นก็จะทำให้เราสามารถเดินสู่หนทางแห่งความสำเร็จในการลงทุนได้เช่นกัน

แนวคิดที่ 8 ต้องเชื่อต่างประเทศมือใหญ่
เป็นที่รู้กันละครับในวงการหุ้นว่าบรรดาขาใหญ่ตัวจริงที่สามารถคุมบังเหียน กำหนดทิศทางตลาดทุนแห่งประเทศไทยได้เลย ก็คือนักลงทุนต่างชาตินี่ละครับ สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ หากพิจารณาเป็นรายวันก็คงน้อย กว่านักเลงหุ้นรายใหญ่ แต่ว่าดูจากพอร์ตการลงทุนในแต่ละพอร์ตของต่างชาติแล้วจะรู้ชัดเลยครับว่า แต่ละพอร์ตมีวงเงินมหึมาหลายร้อยหลายพันล้านบาททีเดียวครับ นักลงทุนต่างชาติเวลาคิดที่จะซื้อหุ้นแต่ละครั้งแต่ละรอบ พวกนี้มีความชำนาญต่อการวิเคราะห์ วิจัยเป็นอย่างยิ่งครับ เรียกว่าเขามองให้เห็นทุกแง่ทุกมุมของหุ้นแล้วก็ค่อยลงมา ซึ่งเป็นการลงทุนที่เป็นระบบมีแบบแผนชัดเจนครับ ทุกคราวที่นักลงทุนต่างชาติขับเคลื่อนตราทัพลุยซื้อหุ้นบ้านเรา ดัชนี มักกลายเป็นขาขึ้นทุกรอบ ในเวลาเดียวกันหุ้นที่เป็นเป้าหมายของการซื้อจากต่างชาติก็จะสามารถปรับตัวเดินหน้าไปได้ด้วยดีเช่นกันครับ ดังนั้นหากนักลงทุนที่ชาญฉลาดจะทำตัวเป็นเหาฉลามคอยว่ายประกบขาใหญ่ตอดเล็มกินเล็กกินน้อยไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ ผิดกับพวกที่ชอบเล่นย้อนศร เห็นต่างชาติซื้อทีไร เป็นต้องโยนเทขายทิ้งอยู่เสมอ เวลาพวกต่างชาติเล่นทางขาย พวกก็ชอบสวนซื้อ สุดท้ายปรากฏผลตามมาคือ บรรดาพวกย้อนศรมักเกิดอาการเดี้ยงอยู่เสมอครับ ผมว่า แนวคิดที่คิดเชื่อตามแนวทางการลงทุนของมือใหญ่ต่างชาติ น่าจะเป็นวิธีทางเลือกอีกช่องทางหนึ่งครับที่จะสามารถนำพาสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ครับ

แนวคิดที่ 9 ใส่ใจใฝ่หาความรู้
ที่เขาบอกว่าเรื่องหุ้นนั้นนะ เรียนรู้ไม่มีวันจบวันสิ้นหรอกครับ ผมว่าสิ่งที่ว่าไว้นั้นถูกต้องครับ เพราะตัวแปรที่เป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อการลงทุน ต่อราคาหุ้นนั้นเกิดการแปรผันได้ตลอด เดี๋ยวมีเรื่องโน่น เรื่องนี้ มีสิ่งใหม่ ๆ ให้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาครับ ใครที่หยุดนิ่ง ใครที่คิดว่าตัวเองสุดยอดฉลาดปราดเปรื่องแล้วพวกนี้คือผู้ที่พ่ายแพ้บนความจริงครับ นววัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นกับตลาดทุน โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นที่กำลังพัฒนาอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของเรานี้ ย่อมมีอะไรที่แปลกใหม่ให้เรียนรู้อยู่เสมอครับ ทั้งเรื่องราวของกฎ กติกา เครื่องไม้ เครื่องมือทางการเงิน สินค้าทางการลงทุน มากมายหลายเรื่องครับที่พร้อมให้เราต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อเตรียมความพร้อมกับการลงทุนที่ถูกหลักถูกวิธีครับ ยิ่งเวลานี้โลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์กระแสการเรียนรู้เข้าถึงทุกมิติ คนที่ชาญฉลาดในการใสใจใฝ่หาความรู้ย่อมได้เปรียบผู้ที่ทำตัวนิ่งเฉยต่อการแสวงหา โลกยุคอินเตอร์เน็ต เป็นยุคแห่งการแย่งแข่งกันวิ่งเข้าหาข้อมูลครับ เรื่องหุ้นหากไร้ซึ่ง ข้อมูลข่าวสารแล้ว ก็เปรียบเสมือนคนตาบอดไร้ไม้คลำทางที่ยืนอ้างว้างอยู่บนสนามหญ้านั้นละครับ ในเวลานี้เราจะเห็นว่า บรรดาโบรกเกอร์หลายแห่งครับที่พยายามพัฒนาทีมงานนักวิเคราะห์ที่เป็นผู้คอยป้อนข้อมูลข่าวสาร บทวิเคราะห์ บทวิจัย ให้มีความพร้อมเต็มเปี่ยมในการให้บริการเกี่ยวกับข่าวสารข้อมูล สิ่งที่โบรกเกอร์สร้างความแข็งแกร่งในทีมวิเคราะห์ก็เพื่อตอบสนองความใสใจใฝ่รู้ของนักเล่นหุ้นนั้นเองครับ หากเราไม่แสวงหาหรือไขว้คว้ามาก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุดครับ

แนวคิดที่ 10 เชิดชูหุ้นพื้นฐานแกร่ง
เล่นหุ้น หรือ ลงทุนในตลาดทุน สิ่งหนึ่งที่จำเป็นที่สุดที่ชาวหุ้นต้องมีติดอยู่ตัวตนเองคือแนวคิดที่ต้องมองและค้นหาหุ้นซึ่งมีพื้นฐานที่แกร่ง ที่ดี เพื่อเข้าซื้อเก็บเข้าพอร์ต เพราะการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแกร่ง เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นเรื่องที่ถูกต้องของหลักการลงทุน ใครที่ไหนละครับที่เข้าตลาดหุ้นแล้วมองเลือกเล่นแต่หุ้นที่มีงบขาดทุน เป็นหุ้นเน่า เล่นแต่หุ้นไร้พื้นฐาน สุดท้าย คน ๆ นั้นก็หนีไม่พ้นกับคำว่าล่มสลายในตลาดทุนอย่างแน่นอนครับ นักลงทุนที่ใช้หลักในการลงทุนโดยวิธีเกาะยึดหุ้นพื้นฐานแกร่งเพื่อการลงทุนได้ ส่วนใหญ่มักนำพาตัวเองไปสู่เป้าหมายได้เสมอครับ ดังนั้นการลงทุนเพื่อหวังชัยชนะกับการให้ได้มาซึ่งผลกำไรนั้น นักลงทุนผู้แสวงหานั้นจำต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นฐานในหุ้นครับ หุ้นที่ดีต้องมีความสามารถสร้างกำไรที่งามได้อย่างต่อเนื่อง ต้องแจกจ่ายผลตอบแทนในแง่ปันผลในสัดส่วนที่นักลงทุนพึงพอใจ หุ้นพื้นฐานแกร่งต้องมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจในเชิงรุกเพื่อการเติบโตของธุรกิจ ต้องไม่มีหนี้สินมากมาย ต้องมีสภาพคล่องทางการเงินดี ต้องมีผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นผู้ที่มีคุณธรรมที่ดี อย่างน้อยที่สุดหากภาวะตลาดหุ้นเกิดอาการผันผวน หุ้นที่มีพื้นฐานแกร่งแม้จะอ่อนไหวตามภาวะตลาดแต่สุดท้ายก็สามารถหวนกลับขึ้นได้อย่างรวดเร็วด้วยพื้นฐานที่แท้จริงของเขาเองครับ หากเราเชิดชูหุ้นที่มีพื้นฐานแกร่งที่แท้จริงแล้ว ก็ต้องถือว่าเรานั้นได้ขจัดความเสี่ยงต่อการลงทุนได้มากทีเดียว