ห้องเม่าปีกเหล็ก

7 กฎการลงทุนขั้นสุดยอด จาก ปีเตอร์ ลินช์

โดย dave
เผยแพร่ :
64 views
7 กฎการลงทุนขั้นสุดยอด จาก ปีเตอร์ ลินช์
 
 
.
ก่อนอื่น ปีเตอร์ ลินช์ เป็นใคร ? เขาคืออดีตผู้จัดการกองทุนที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ด้วยการสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 29.2% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่บริหารกองทุน Magellan (1977-1990)
.
การบริหารกองทุนในช่วงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีวิกฤติเศรษฐกิจที่ลุกลามเป็นวิกฤติทางการเงินเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง ทั้งมหาวิกฤติเงินเฟ้อ (The Great Inflation 1970s) และ วันจันทร์ทมิฬ (Black Monday 1987)
.
ทั้งสองวิกฤตินี้ทำเอาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทิ้งดิ่งลงราว 50% และ 30% ตามลำดับ แต่ ปีเตอร์ ลินช์ ผ่านวิกฤติพวกนั้นมาได้ และสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึงขนาดนั้น มันจึงน่าเรียนรู้ว่าเขาทำได้ยังไง
.
.
???? 7 กฎการลงทุนขั้นสุดยอด จาก ปีเตอร์ ลินช์
.
???? 1. นักลงทุนรายย่อยมีข้อได้เปรียบมหาศาล
.
อย่าไปเชื่อคำพูดของคนอื่นที่บอกว่า คุณต้องเป็นนักลงทุนรายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน ที่มีเงินลงทุนก้อนใหญ่ จบการศึกษาสูง ๆ ถึงจะมีความได้เปรียบในการลงทุน
.
ผมเชื่อว่านักลงทุนรายย่อยสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างดีเยี่ยมด้วยตัวเอง เพราะแม้นักลงทุนสถาบันจะเป็นผู้ควบคุมเกมในตลาดหุ้น แต่มันก็เป็นข้อดีสำหรับนักลงทุนรายย่อยเหมือนกัน
.
บางครั้งนักลงทุนสถาบันก็กดราคาหุ้นบางตัวจนต่ำเกินไป แต่ไปดันราคาหุ้นบางตัวจนสูงเกินไป ความผันผวนแบบนี้แหละ คือ โอกาสสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่มีความเข้าใจในหุ้นหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ
.
.
???? 2. เข้าใจในสิ่งที่กำลังลงทุนอยู่
.
สิ่งสำคัญที่สุดของการลงทุนในตลาดหุ้นคือ คุณต้องรู้ว่ากำลังลงทุนอะไรอยู่ ซึ่งหลายคนมักจะตอบไม่ได้ว่า “ซื้อหุ้นตัวนี้มาทำไม มันดียังไง หุ้นตัวนี้ทำธุรกิจอะไร”
.
คำตอบหลักที่ผมมักได้รับจากนักลงทุนก็คือ “เพราะหุ้นตัวนี้มันกำลังขึ้น” และนี่เป็นเพียงคำตอบเดียวที่ผมได้รับ
.
ถ้าคุณอธิบายให้เด็ก ๆ ฟังไม่ได้ภายใน 2 นาที ว่าคุณซื้อหุ้นตัวนั้นมาทำไม คุณไม่ควรถือหุ้นตัวนั้นแล้วล่ะ
.
ผมเคยทำกำไรได้ราว 10-15 เท่าของเงินลงทุนในหุ้นร้านขายโดนัทแห่งหนึ่ง เหตุเพราะผมเข้าใจธุรกิจโดนัท ผมรู้ว่าธุรกิจนี้แข็งแกร่ง แม้จะอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยผมก็ไม่รู้สึกกังวล เมื่อผมเดินไปที่ร้านผู้คนก็ยังคงมาซื้อโดนัทไปกิน
.
.
???? 3. อย่าลงทุน จากการได้ยินความเห็นของคนอื่นเพียงอย่างเดียว
.
มันแปลกมากที่ทุกคนมีความระมัดระวังในการใช้เงินกันสูงมาก เวลาคุณจะซื้อสินค้าอะไรซักอย่าง เช่น มือถือรุ่นใหม่ หรือรถยนต์คันใหม่ คุณจะทำการบ้านมาอย่างดี ค้นหาข้อมูล ดูรีวิว และพิจารณาด้วยตัวเองเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด
.
แต่กับการลงทุนคุณจะฟังจากคนอื่นเป็นหลัก เช่น “ก็เขาบอกว่ามันจะขึ้น….” หรือ “เขาแนะนำว่า…” หรือบางทีคุณอาจจะเจอรายชื่อหุ้นจากกลุ่มต่าง ๆ เช่น หุ้นผีบอก หุ้นเพื่อนบอก หุ้นเจ้าบอก หรือหุ้นกลุ่มลับ เป็นต้น
.
การฟังความเห็นจากคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่บ่อยครั้งที่คุณฟังเสร็จ คุณก็เอาเงินไปลงทุนกับมันในทันที โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นเลย
.
เลยไม่แปลกที่คุณจะเสียเงินลงทุนไปกับหุ้นพวกนี้
.
.
???? 4. มุ่งความสนใจไปที่ตัวบริษัทเป็นหลัก
.
หุ้นไม่ใช่หวย เบื้องหลังหุ้นทุกตัวมันมีบริษัทที่กำลังดำเนินงานอยู่ ถ้าบริษัทสร้างผลกำไรได้ดี ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นกัน มันไม่ได้ซับซ้อนไปมากกว่านี้เลย
.
เช่น หุ้นบริษัทน้ำอัดลมสีดำชื่อดังแห่งหนึ่ง สร้างกำไรได้ 30 เท่าของกำไรเมื่อ 32 ปีก่อน ราคาหุ้นในวันนี้ก็ปรับตัวขึ้นมา 30 เท่าจากเมื่อ 32 ปีก่อนเช่นกัน (ข้อมูลนี้ ปีเตอร์ ลินช์ ยกตัวอย่างไว้เมื่อปี 1994)
.
การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น มันก็มีเหตุผลของมันอยู่
.
.
???? 5. อย่าเสียเวลาทำนายทิศทางของตลาดหุ้นเลย
.
มันไม่มีใครหรอกที่ทำนายทิศทางของตลาดหุ้นได้ถูกต้องตลอดเวลา หรือแม้แต่การทำนายภาวะเศรษฐกิจและทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในอนาคตก็เช่นกัน
.
ผมมักพูดบ่อย ๆ ว่า ถ้าคุณใช้เวลา 14 นาทีไปกับการทำนายภาวะเศรษฐกิจ คุณจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ 12 นาที
.
แต่ผมไม่ได้หมายความว่าตัวเลขเศรษฐกิจมันไม่มีประโยชน์นะ ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนนี้ผมถือหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ผมจะอยากรู้ว่าราคารถยนต์มือสองมันกำลังปรับขึ้นรึเปลา ? เพราะถ้ามันปรับขึ้นนี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก ๆ
.
หรือ ถ้าผมถือหุ้นกลุ่มโรงแรม ผมจะอยากรู้ตัวเลขอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) หรือ ถ้าผมถือหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ผมจะอยากรู้ราคาของเอทิลีน (Ethylene)
.
???? สรุปเลยก็คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแล้ว มันคือข้อเท็จจริง (Fact) อันนี้มีประโยชน์ ส่วนการทำนายตัวเลขเศรษฐกิจ มันคือการกระทำที่เสียเวลาเปล่า ๆ
.
.
???? 6. ตลาดหุ้นตกหนัก ๆ คือ โอกาสครั้งยิ่งใหญ่
.
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ คือ ตลาดหุ้นร่วงเป็นประจำ
.
จากประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ผ่านมา มีประมาณ 50 ครั้งที่ตลาดหุ้นจะตกแรง ๆ มากกว่า 10% เราเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า “ตลาดปรับฐาน (Market Correction)” นั่นหมายความว่า ทุก ๆ 2 ปี ตลาดจะตกแรง ๆ 1 ครั้ง
.
แต่ใน 93 ปีที่ผ่านมา มันมี 15 ครั้งที่ตลาดหุ้นจะทิ้งดิ่งแรงมากกว่า 25% เราเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า “ตลาดหมี (Bear Market)” นั่นแปลว่าทุก ๆ 6 ปี ตลาดหุ้นจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมี
.
นี่แหละคือสิ่งที่คุณควรรู้ ตลาดหุ้นมันต้องมีตกแรง ๆ บ้างเป็นบางครั้ง แต่มันเป็นเรื่องดีนะ เพราะถ้าคุณชอบหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 14 ดอลลาร์ แล้วอยู่ดี ๆ ราคาเกิดร่วงลงมาเหลือ 6 ดอลลาร์ นี่เป็นโอกาสชั้นเยี่ยมเลย
.
แต่มันจะเป็นโอกาสได้ ก็ต่อเมื่อคุณเข้าใจธุรกิจของหุ้นตัวนั้น คุณดูงบการเงินมาแล้ว และคุณรู้ว่านี่เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งมาก
.
???? สิ่งสำคัญคือ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ในอนาคตมันจะเกิดขึ้นอีกแน่ ๆ (ข้อมูลนี้ ปีเตอร์ ลินช์ พูดไว้เมื่อปี 1994)
.
.
???? 7. ทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญอยู่แล้ว จงใช้มันทำเงิน
.
ทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญอยู่แล้ว แต่เรามักจะไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ เช่น ถ้าคุณทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ คุณก็จะมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างดี
.
ซึ่งความเชี่ยวชาญที่คุณมี จะทำให้คุณเข้าใจกลไกของธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในการลงทุนเหนือคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องเหมือนคุณ
.
แต่สุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็ยังจะไปซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน หรือหุ้นบริษัทแท่นขุดเจาะน้ำมันอยู่ดีนั่นแหละ
.
.
“หุ้นไม่ใช่หวย !! เบื้องหลังหุ้นทุกตัวมีบริษัทกำลังดำเนินงานอยู่”
- ปีเตอร์ ลินช์ -
.
อ้างอิง
คลิป ปีเตอร์ ลินช์ ขึ้นพูดในงานเลี้ยงสมาคมผู้สื่อข่าวแห่งชาติสหรัฐฯ ปี 1994
-----------
 

dave