จากหนังสือเล่มแรกของโลก…สู่การพัฒนาเศรษฐกิจ
หากย้อนกลับไป หนังสือเก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์รู้จักคือ Book of the Dead บนแผ่นปาปิรัสอียิปต์ ต่อมาโลกได้เห็น Diamond Sutra จากจีน (ค.ศ. 868) ในฐานะหนังสือพิมพ์เล่มแรกที่ยังคงเหลือ และก้าวสำคัญในศตวรรษที่ 15 คือ Gutenberg Bible ที่พิมพ์จากแท่นกูเตนเบิร์ก ทำให้หนังสือไม่ใช่สมบัติของชนชั้นสูงอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ทุนทางความรู้” ของผู้คนทั่วไป
ประวัติศาสตร์นี้บอกเราว่า ทุกครั้งที่หนังสือแพร่หลาย เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองก็เปลี่ยนแปลงตาม

สำหรับประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมนี้ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 โดยมีโครงการ “การศึกษาผู้ใหญ่” และ “การศึกษานอกระบบ” (กศน.) เป็นหัวใจสำคัญ ในปี 1980 ไทยได้รับรางวัล UNESCO Nadezhda K. Krupskaya Literacy Prize จากโครงการ Functional Literacy Programme ที่ช่วยลดอัตราผู้ใหญ่ไม่รู้หนังสือ ถือเป็นการยอมรับในเวทีโลกว่าไทยมีบทบาทจริงในการขับเคลื่อน literacy
หากหนังสือเล่มแรกเปลี่ยนอารยธรรม และโครงการ “การศึกษาผู้ใหญ่” และ “การศึกษานอกระบบ” เปลี่ยนโฉมประเทศไทย การรู้หนังสือไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความรู้ แต่คือพลังที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
ชีวิตคนธรรมดาที่เปลี่ยนไป
ลองนึกถึงเกษตรกรที่เริ่มอ่านคู่มือเกษตรสมัยใหม่ ค้นหาความรู้จากอินเทอร์เน็ต และต่อยอดด้วยการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เขาไม่ได้จำกัดตัวเองแค่ตลาดท้องถิ่น แต่ขยายสู่ลูกค้าทั้งประเทศและต่างประเทศ รายได้ครอบครัวเพิ่มขึ้น ชีวิตลูกหลานก็ดีขึ้นตามมา นี่คือพลังจริงของ “การรู้หนังสือ” ที่เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดา
เศรษฐกิจที่เติบโตจากฐานความรู้
เมื่อคนอ่านออกเขียนได้มากขึ้น พวกเขาเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เข้าใจนโยบาย และเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ผลลัพธ์คือแรงงานที่มีคุณภาพ อาชีพมั่นคง รายได้สูงขึ้น และเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ใช่เพียงงานใช้แรง แต่เป็นงานที่ใช้ความรู้และนวัตกรรม
จากเศรษฐกิจชุมชนสู่เศรษฐกิจโลก
ผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME หากมีทักษะการอ่านออกเขียนได้และเสริมด้วยภาษาต่างประเทศ ก็สามารถก้าวไปสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจกฎการค้า การใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือการเจรจากับคู่ค้าต่างชาติ การรู้หนังสือคือสะพานที่เชื่อม “ร้านเล็ก ๆ ในชุมชน” กับ “ธุรกิจบนเวทีโลก”
ความหมายใหม่ของการรู้หนังสือ
ทุกวันนี้ literacy หมายถึงมากกว่าตัวอักษร มันคือ digital literacy คนที่ใช้เทคโนโลยีคล่องแคล่วสามารถเรียนออนไลน์ ทำงานระยะไกล หรือสร้างอาชีพใหม่จากแพลตฟอร์มโซเชียล สิ่งนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น e-commerce, fintech หรือ creative economy
ก้าวหน้าในตัวเลข…ท้าทายในคุณภาพ
ปี 2568 คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปอ่านออกเขียนได้ถึง 98.83% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 86.8% และมี 51 จังหวัดที่อัตราไม่รู้หนังสือน้อยกว่า 1% แต่แม้ literacy ไทยเกือบเต็มร้อย คุณภาพการศึกษาไทยกลับยังตามหลังหลายประเทศในอาเซียน เด็กไทยทำคะแนนนานาชาติ (PISA) ต่ำกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ชี้ว่าการ “อ่านออก” ยังไม่พอ หากไม่ถูกต่อยอดเป็น “การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ”
รู้หนังสือ = พัฒนาอย่างยั่งยืน
การรู้หนังสือไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ลดความเหลื่อมล้ำ เมื่อทุกคนเข้าถึงความรู้ โอกาสย่อมกระจายเท่าเทียม ประเทศที่มีประชากรรู้หนังสือสูงมักมีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมากกว่า แต่เงื่อนไขสำคัญคือคุณภาพของการเรียนรู้ที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไป
ประเทศที่อ่านออก…คือประเทศที่เขียนอนาคตของตัวเองได้
การรู้หนังสือคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะสามารถต่อยอดไปสู่ทุกมิติของเศรษฐกิจ ทั้งแรงงาน การค้า เทคโนโลยี และเสถียรภาพทางการเมือง ไทยในวันนี้อาจไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวยที่สุด แต่การที่คนไทยเกือบทั้งหมดอ่านออกเขียนได้ คือ “ทุนมนุษย์” ที่แข็งแรงที่สุด หากเราต่อยอด literacy สู่ digital literacy อย่างจริงจัง ประเทศไทยจะไม่ใช่เพียงผู้ตาม แต่มีศักยภาพก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้เขียนเรื่องราวเศรษฐกิจใหม่” บนเวทีโลก
เรื่องและภาพ: ชนิยา ชัยพฤกษ์ Economist, Bnomics
════════════════
ที่มา. Bnomics by Bangkok Bank