ห้องเม่าปีกเหล็ก

การคลังไทยบนเส้นทางอันมืดมน

โดย OVERMoney
เผยแพร่ :
49 views

การคลังไทยบนเส้นทางอันมืดมน

เสียงเตือนทางการคลังของไทย...ดังขึ้นอีกครั้ง

ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่กล้าตัดสินใจ

ปี 2568 เป็นปีที่ “สถาบันจัดอันดับเครดิตโลก” ทั้ง Moody’s และ Fitch

ปรับ Outlook ของไทยจาก “Stable” เป็น “Negative”

หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ “ภาวะการคลังที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง”

 

ขาดดุลกลายเป็น New Normal

นโยบายขาดดุลควรเป็นเครื่องมือเฉพาะเวลาวิกฤต

แต่วันนี้กลับกลายเป็น “สภาวะปกติ” ของเศรษฐกิจไทย

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ไทยขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง

และในปีงบประมาณ 2568 ตัวเลขขาดดุลสูงสุดในประวัติการณ์กว่า 9 แสนล้านบาท

คิดเป็น 4.8% ของ GDP สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานสากลที่ 3% ไปมาก

 

หนี้สาธารณะพุ่งแตะจุดอันตราย

เมื่อรายจ่ายมากกว่ารายได้ สิ่งที่ตามมาคือ “การกู้”

หนี้สาธารณะของไทย ณ เดือนกันยายน 2568 ทำ New High แตะ 12.2 ล้านล้านบาท

หรือ 64.8% ของ GDP ใกล้ชนเพดานความยั่งยืนทางการคลังที่ 70%

ทั้งที่เคยขยายกรอบมาแล้วจาก 60%

 

รายได้รัฐที่โตช้ากว่าเศรษฐกิจ

แม้ตัวเลขรายได้จะดูเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจกลับ “หดตัว”

ปี 2568 รายได้รัฐต่อ GDP อยู่ที่ 15.0% ลดจาก 16.8% ในปี 2556

ห่างไกลจากค่าเฉลี่ยประเทศพัฒนาแล้วที่กว่า 24%

ปัญหามาจากโครงสร้างภาษีที่พึ่งพิงการบริโภคเป็นหลัก

แรงงานกว่า 2 ใน 3 ไม่เสียภาษี เศรษฐกิจนอกระบบใหญ่โต

และสิทธิประโยชน์ภาษีที่ทำให้รายได้รัฐโตไม่ทันรายจ่าย

เมื่อรายได้โตช้ากว่ารายจ่าย ช่องว่างทางการคลังจึงขยายออกทุกปี

 

รายได้เกือบครึ่งถูกใช้ชำระหนี้

ภาระหนี้รัฐต่อรายได้ ณ มีนาคม 2568 สูงถึง 42.5%

หมายความว่า รายได้เกือบครึ่งของรัฐหมดไปกับการใช้หนี้

และรัฐบาลเพิ่งขยายเพดานหนี้ต่อรายได้จาก 35% เป็น 50%

การเลื่อนเพดานซ้ำ ๆ คือการผลักความเสี่ยงไปข้างหน้า

 

รายจ่ายประจำกินงบเกิน 80%

เงินเดือน ค่าสาธารณูปโภค และสวัสดิการ

กินสัดส่วนงบประมาณกว่า 80%

ทำให้ “งบลงทุน” ที่จะสร้างอนาคตถูกบีบให้แคบลง

และแม้ในงบลงทุนเอง ก็ยังมีรายจ่ายประจำแฝงอยู่

 

พื้นที่ทางการคลังหดแคบลงทุกวัน

รัฐแทบไม่เหลือช่องกู้เพื่อรับมือวิกฤตใหม่

ปี 2568 รัฐกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.2 แสนล้านบาท

ในขณะที่หนี้กึ่งการคลังของรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

ยังคงค้างอยู่กว่า 1 ล้านล้านบาท — ระเบิดเวลาที่กำลังเดินช้าแต่แน่นอน

 

ทางรอดของการคลังไทย

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ “การกู้เพิ่ม”

แต่อยู่ที่ “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” ทั้งระบบ

• ด้านรายได้ — ปรับโครงสร้างภาษีให้สะท้อนรายได้จริง

เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และขยายฐานภาษีสู่เศรษฐกิจใหม่

• ด้านรายจ่าย — ลดความซ้ำซ้อน จัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ

และลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทนต่อเศรษฐกิจระยะยาว

• ด้านวินัยการคลัง — ลดขาดดุลให้กลับสู่ระดับปกติ

ไม่ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อผลการเมืองระยะสั้น

ยกระดับกฎเกณฑ์ทางการคลังให้มีผลจริง เพิ่มความโปร่งใส

และรายงานต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

 

เร่งแก้ก่อนสาย

ประเทศไทยกำลังเคยชินกับ “การขาดดุลเป็นปกติ”

และ “หนี้สาธารณะเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”

แม้วันนี้ยังไม่เกิดวิกฤต แต่ในระยะยาว

ความเคยชินเช่นนี้จะกัดกร่อนศักยภาพการเติบโต

และจำกัดความสามารถของรัฐในการปกป้องประชาชน

เพราะประเทศที่ขาดดุลเรื้อรัง ไม่ได้ล้มเพราะตัวเลข

แต่ล้มเพราะขาด “ความกล้าในการปฏิรูป”

ถึงเวลาแล้ว...ที่รัฐต้องนำ “วินัยทางการคลัง” กลับคืนมา

เพื่อให้ประเทศไทยยังมี “พื้นที่” เพียงพอปกป้องประชาชน

เมื่อคลื่นวิกฤตลูกใหม่ซัดเข้ามาอีกครั้ง

 

เรื่องและภาพ: สราลี วงษ์เงิน Economist, Bnomics

════════════════

 

ที่มาเนื้อหาจาก..  Bnomics by Bangkok Bank


OVERMoney