กลุ่มธนาคารและกลุ่มการเงิน : มุมมองปี 2566
การฟื้นตัวแบบ K-shape ให้ประโยชน์ต่อแต่ละกลุ่มไม่เท่ากัน
ในปี 2566 เราคาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกัน (การฟื้นตัวแบบ K-Shape) จะมีบทบาทสำคัญต่อแนวโน้มการเติบโตและคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธุรกิจธนาคารและการเงิน ในภาพรวม การฟื้นตัวแบบ K-Shape จะส่งผลดีต่อกลุ่มธนาคารมากกว่ากลุ่มการเงิน เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน โดยผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงระดับสูงจะมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีกว่าผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงระดับต่ำในปี 2566
อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้ NIM ของกลุ่มธนาคารขยายตัวขึ้น และ NIM ของกลุ่มการเงินแคบลง
แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะชะลอตัว แต่แนวโน้มการทำกำไรในปี 2566 ของกลุ่มธนาคารจะดีกว่ากลุ่มการเงิน เนื่องจากเราคาดว่าธนาคารจะส่งผ่านต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และสามารถขยายส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในปี 2566 ได้ ซึ่งสวนทางกับกลุ่มการเงินที่จะเริ่มมีแรงกดดันต่อ NIM ด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มการเงินมากกว่ากลุ่มธนาคาร เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลให้ความสำคัญกับการลดหนี้ครัวเรือนต่อ GDP
ธนาคารมีความพร้อมกว่ากลุ่มการเงินสำหรับ NPL รอบใหม่
เราคาดวงจรหนี้เสีย (NPL) ของกลุ่มธนาคารจะไม่รุนแรงในปี 2566 และจะสามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากอัตราสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) มากกว่า 170% และภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เราคาดวงจรหนี้เสียของกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเนื่องจากรายได้ที่จับจ่ายได้ของผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่ลดลงและการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อกำไรของกลุ่มธนาคาร แต่ในทางกลับกันจะกดดันการเติบโตของกำไรของกลุ่มการเงิน
มุมมอง KS
เราคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคาร เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ความเสี่ยงจากการเกิด NPL พร้อมกันจำนวนมากในอนาคต (NPL Cliff) ดูเหมือนจะลดลง
เราปรับเพิ่มมุมมองต่อกลุ่มการเงินเป็น “กลาง” จากมุมมองเชิง “ลบ” เนื่องจาก AMC และผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากภาคการบริโภคภายในประเทศที่มีทิศทางดีขึ้น
