ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิธีการสอนลูกของลีกาชิง

โดย Ozone Pinyo
เผยแพร่ :
65 views

ลีกาชิง เศรษฐีอันดับหนึ่งของฮ่องกง ตั้งกฏเกณฑ์ในบ้านไว้ว่า ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน ทุกเย็นวันจันทร์ สมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องมาร่วมทานข้าวเย็นด้วยกัน

มารยาทบนโต๊ะอาหารของครอบครัวแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของคนตระกูลนี้ ไม่แปลกใจที่ทำไมลูกชายของเขาทั้งสองคนจึงเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ทุกคนบนโต๊ะอาหารจะกล่าวขอบคุณผู้ที่นำอาหารมาเสริฟ แม้พวกเขาเป็นแค่คนรับใช้ในบ้าน

มีคนบอกว่า ผู้ชายก่อนแต่งงาน ลีลาท่าทางที่เขาปฏิบัติต่อพนักงานบริการทั่วไปก็คือมารยาทหรือท่าทางที่เขาจะปฏิบัติต่อภรรยาเขาหลังแต่งงาน

เรามาศึกษาดูกันว่า ทำไมเศรษฐีระดับโลกอย่างลีกาชิงจึงสามารถเลี้ยงดูสั่งสอนลูกทั้งสองของเขาได้มีคุณภาพ

1. พารถขึ้นรถสาธารณะ ยอมทำตัวเป็นคุณพ่อขี้เหนียว

ลีกาชิง เลี้ยงลูกให้ติดดิน แม้จะเรียนในโรงเรียนชั้นนำ เด็กคนอื่นมีรถรับส่ง ใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัว แต่ลีมักพาลูกเขาขึ้นรถรางไปโรงเรียน แต่งตัวใช้ของธรรมดาทั่วไป จนลูกๆ บ่นว่าทำไมพ่อไม่ยอมให้รถที่บ้านไปรับส่งพวกเขา ลีบอกลูกๆ ว่า เวลาอยู่บนรถสาธารณะลูกจะได้สัมผัส รับรู้ และเรียนรู้กับสภาพที่แท้จริงของทุกชนชั้น แต่ถ้าอยู่ในรถส่วนตัวลูกจะไม่เห็นอะไรเลย

ในวันหยุด เขาให้ลูกๆ ไปทำงานพาร์ทไทม์ ทำงานบริการ ทำงานแคดดี้ในสนามกอล์ฟ เขาดีใจที่เห็นลูกตัวเล็กๆ ของเขาแบกถุงกอล์ฟถุงใหญ่ๆ เดินไปในสนาม และที่ทำให้เขาดีใจที่สุดคือลูกๆ บอกจะนำรายได้ทั้งหมดไปช่วยเหลือเด็กยากลำบาก

ลีกาชิง เป็นคนบริจาคเงินมากมาย แต่นาฬิกาที่เขาใช้เป็นนาฬิกาญี่ปุ่นมูลค่าแค่ 26 เหรียญยูเอส เสื้อผ้าสิบปีที่แล้วเขาก็ยังสวมใส่อยู่จนทุกวันนี้ บ้านก็เป็นบ้านเมื่อสามสิบปีที่แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นแบบอย่างที่ทำให้ลูกจดจำตลอดไป

2. การสอนลูกให้เป็นคนดี เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของคนเป็นพ่อแม่

ลีบอกว่า การศึกษาของลูกหลาน 99% ต้องสอนเขาให้รู้จักหลักการของการเป็นคนดีไว้ก่อน แม้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว 2/3 ก็ยังคงต้องเน้นสอนให้เป็นคนดี ที่เหลืออีก 1/3 ถึงจะสอนวิธีการทำการค้า เขาสอนลูกเสมอว่าอย่าเห็นแก่ได้อย่างเดียว ต้องคิดถึงหัวอกคนอื่น คนจะประสพความสำเร็จ ต้องขยัน ซื่อสัตย์ และรักษาคำพูด

ลีกาชิง เกิดในครอบครัวยากจน เขาไม่จบแม้กระทั่งชั้นประถม เขาต้องพยายามศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเขาเอง โดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ งานจะยุ่งแค่ไหน ทุกเย็นเขาจะนั่งศึกษาเพิ่มเติมความรู้อย่างไม่ย่อท้อ นี่เป็นรูปแบบที่ติดตาติดใจลูกๆ ของเขาตั้งแต่เล็กจนโต

เขามักนำเอาปรัชญา คำสอน ข้อคิดดีๆ ของนักปราชญ์จีนโบราณ มาสอนลูกของเขาเป็นประจำ นี่คือวิธีบ่มเพาะลูกๆ ของเขาจนโตเป็นคนดีของสังคม

3. จะเป็นผู้ที่ประสพความสำเร็จ ต้องรู้จักวิธีการวางตัวและการเผชิญหน้ากับสังคมที่เหมาะสม

ลูกๆ ของเขามักบอกว่าพวกเขาเรียนรู้อะไรมากมายจากพ่อ ที่สำคัญที่สุดที่พ่อมักเน้นย้ำคือต้องเป็นนักธุรกิจที่ซื่อสัตย์ ต้องรู้จักวางตัวและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหุ้นส่วน

ลีสอนลูกว่าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ผู้อื่นเสมอ ไม่เอาเปรียบเขา ตั้งแต่ทั้งคู่ยังเป็นเด็ก เวลามีการประชุมของผู้บริหาร เขาก็จัดที่นั่งพิเศษให้ลูกๆ นั่งฟังผู้ใหญ่เขาประชุมโต้เถียงหารือกัน บางครั้งอาจมีข้อพิพาทรุนแรงในห้องประชุมจนลูกๆ ตกใจกลัว แต่เขาจะอธิบายให้ลูกฟังหลังจากนั้นว่า "ที่ต้องโต้แย้งกันก็เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท มันเป็นเรื่องปกติ เปรียบเหมือนไม้ ถ้าไม่เจาะก็ทะลุมันไม่ได้ เหตุผลถ้าไม่ถกเถียงก็จะไม่เข้าใจกัน"

ลีบอกลูกว่า วิธีการบริหารจัดการธุรกิจต้องศึกษาเลียนแบบโลกตะวันตก เขามีหลักการที่เป็นระบบระเบียบ แต่การวางตัวต่อสังคมต่อเพื่อนมนุษย์ต้องศึกษาหลักปรัชญาอันลึกซึ้งของจีน เพราะสอนให้บ่มเพาะอุปนิสัยให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ขยันอดทน และสู้ไม่ถอย หากจะทำตัวให้คนอื่นเชื่อถือเรา เราต้องเป็นคนมีสัจจะรักษาคำมั่นสัญญา ก่อนจะให้คำสัญญาต้องศึกษาให้รอบคอบ เมื่อสัญญาแล้วแม้จะเจออุปสรรค์ยากเย็นแค่ไหน ก็ต้องรักษาคำมั่นสัญญาให้ถึงที่สุด

4. อย่าตามใจลูกจนเสียคน สอนให้ลูกยืนอยู่บนแข้งขาตัวเอง

ลีส่งลูกทั้งสองไปศึกษายังต่างประเทศตั้งแต่แค่อายุ 15 และ 13 … เด็กทั้งสองต้องฝึกดูแลตัวเอง ทำกับข้าวไม่เป็นก็ต้องศึกษาจากโทรทัศน์ จนทั้งคู่สามารถทำอาหารกินเองประทังเอาชีวิตรอดไปได้

เมื่อทุกอย่างเข้าที่ ลูกๆ ต้องออกหางานรับจ้างทั่วไปทำพาร์ทไทม์ในวันหยุด ชีวิตเหมือนเด็กปุถุชนทั่วไป คนที่รู้จักภูมิหลังครอบครัวนี้จะพูดว่า "ที่บ้านรวยล้นฟ้า ทำไมต้องลำบากอย่างนี้" พี่น้องทั้งสองได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไรครับ"

5. เรียนจบแล้วพ่อไม่ยอมเป็นแบ๊คให้ จงไปสร้างธุรกิจกันเอง

ความโหดของลีกาชิงที่มีต่อลูก เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด

พอทั้งคู่เรียนจบมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดด้วยเกรดเฉลี่ยที่ยอดเยี่ยม ตั้งใจจะกลับฮ่องกงเพื่อเข้าทำงานในบริษัทพ่อ แต่ลีปฏิเสธที่จะให้ลูกเข้าทำงาน เขาให้ลูกไปลุยทางทำมาหากินเอง

ทั้งคู่ต้องจากฮ่องกง เดินทางไปแคนนาดา แล้วเริ่มต้นทำธุรกิจจากศูนย์ ด้วยความพยายามไม่ยอมย่อท้อ ในที่สุด ลูกชายคนโตก็สามารถประสพความสำเร็จด้านอสังหาริมทรัพย์ ส่วนคนน้องก็กลายเป็นนักลงทุนด้านธุรกิจการเงิทั้งคู่ล้วนประสพความสำเร็จจนเป็นที่จับตามองของคนในวงการ

ก็เพราะความใจโหดของพ่อ ลูกทั้งสองจึงสามารถยืนอยู่บนแข้งขาตัวเอง และล้วนไปได้สวยบนเส้นทางธุรกิจ

6. ลูกลีกาชิงเคยถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ แต่กว่าตำรวจจะรู้ คือสิบปีให้หลัง

สิบปีที่ผ่านมา คนในตระกูลไม่เคยมีใครแพร่งพรายข่าวนี้ให้ใครได้รับรู้ เรื่องมาแดงขึ้นก็ด้วยผู้ร้ายที่ลักพาตัวลูกชายลีกาชิงถูกจับในคดีลักพาตัวคนอื่นที่มาเก๊า ระหว่างที่ตำรวจกำลังสอบสวนผู้ร้าย ตำรวจยิงคำถามไปว่า "ในชีวิตอาชญากรรม เคยก่อคดีอะไรที่ใหญ่ที่สุดไว้บ้าง" ผู้ร้ายตอบว่า "สิบปีที่แล้ว เคยเอ่ยปากขอเงินลีกาชิงมาใช้พันล้านเหรียญ (ฮ่องกง) ลีกาชิงรับปากทันที"

นักข่าวถามลีว่าทำไมไม่แจ้งตำรวจตอนเกิดเรื่อง เขาบอกนักข่าวว่า ในเหตุการณ์นั้น เขากับคนร้ายสื่อสารกันในบรรยากาศที่เป็นมิตร เขารับปากกับคนร้ายว่าจะไม่แจ้งตำรวจเด็ดขาด นั่นคือเหตุผลที่เขารักษาคำพูดมาตลอด

ลีกาชิงบอกว่า การรักษาคำพูดเป็นชีวิตที่สองของเขา นักข่าวถามว่าแค้นคนร้ายหรือไม่ ลีบอกกับนักข่าวว่า "ผมมักสอนลูกว่า คนต้องมีหัวใจที่มุ่งมั่นดั่งใจราชสีห์ แต่ต้องมีจิตใจที่เปี่ยมเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์"
.

ลีกาชิงเป็นคนรักลูก เป็นความรักเยี่ยงคุณพ่อทั้งหลายที่มีต่อลูก แต่สำหรับวิธีการเลี้ยงดูสั่งสอนลูกนั้น ลีกาชิงเป็นคนมีสติ แต่โหด ความมีสติแต่โหดของเขาก็เพื่อซ่อนกลบความรักที่ยิ่งใหญ่ของเขาที่มีต่อลูก แต่สิ่งที่เขาสอนลูกนั้นล้วนลึกซึ้งแบบมีมิติที่ฝังลึก นี่คือวิธีการเลี้ยงดูลูกที่น่านับถือของเศรษฐีระดับโลกของลีกาชิง
.

"แม้คุณจะประสพความสำเร็จในด้านธุรกิจมากขนาดไหน หากคุณไม่สามารถบ่มเพาะลูกให้เป็นคนดี มันก็ไม่มีอะไรสามารถชดเชยความผิดพลาดอันนี้ได้"

Cr. FB คุณวรวรรณ ธาราภูมิ และคุณ ขจรศักดิ์ ค่ะ


Ozone Pinyo