ส่งออกยังสาหัส ปัจจัยเสี่ยงรุมซัด
ส่งออก-ท่องเที่ยวเครียด ปี 63 สารพัดปัจจัยเสี่ยงรุมซัดธุรกิจเซ ทั้งบาทแข็งหลุด 30 เทรดวอร์ลากยาว คู่ค้าแห่กีดกัน ค่าแรงขยับ ภัยแล้งกระหนํ่า สรท.ชี้โอกาสส่งออกปีชวดพลิกบวกคงยาก แนะคาถาผู้ประกอบการ “พึ่งตัวเอง” กกร.ถกทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจ 8 ม.ค.
ภาคส่งออกพากันหวาดผวา จากเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมส่งท้ายปี 2562 เงินบาทแข็งค่าหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 29.97 บาทต่อดอลลาร์ แม้ปัจจุบันจะดีดกลับขึ้นมาอยู่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์ แต่ก็ยังไม่น่าไว้วางใจ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ-แห่งประเทศไทย (สรท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผู้ส่งออกในภาพรวมกังวลมากต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ยังผันผวนในทิศทางที่แข็งค่าซึ่งอาจจะหลุดกรอบ 30 บาทต่อดอลลาร์ ล่าสุดทางสรท.อยู่ระหว่างการทำตัวเลขคาดการณ์หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 29 หรือ 28 บาทต่อดอลลาร์จะกระทบรายได้ส่งออกหายไปมากน้อยเพียงใด หากเงินบาทยังแข็งค่าเช่นนี้โอกาสส่งออกไทยจะขยายตัวดีกว่าปี 2562 หรือกลับมาขยายตัวเป็นบวกคงยาก
“ในเร็วๆ นี้ ทางสรท.จะเข้าพบผู้ว่าการแบงก์ชาติเพื่อขอรับทราบแนวทางรับมือค่าเงินบาทที่ผันผวนในทิศทางที่แข็งค่ามากกว่าอ่อนค่าว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมอย่างไร เรื่องค่าเงินนี้กระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน และเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 1 ของภาคส่งออกในเวลานี้”
ส่วนการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่าทั่วประเทศเป็น 313-336 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จะเพิ่มภาระต้นทุนให้อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก รวมถึงมาตรการกีดกันการค้าของคู่ค้าเริ่มมีมากขึ้น และต้องจับตาภัยแล้งจะกระทบผลผลิตทางการเกษตรที่ใช้แปรรูปส่งออก
แนะเอกชนพึ่งตัวเอง
ขณะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่จะมีการลงนามข้อตกลงการค้าในเฟส 1 และจะเริ่มเจรจาในเฟส 2 หากดำเนินการตามนี้จริง จะถือว่าเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ยังไม่สามารถไว้วางใจว่าสหรัฐฯ จะทำได้จริงหรือไม่ ข้อแนะนำผู้ประกอบการในเวลานี้ ไม่มีอะไรดีกว่าพึ่งตัวเอง ส่วนหนึ่งต้องปรับกำลังการผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด การฝึกอบรมคนงานให้มีทักษะที่สูงขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้คุ้มค่ากับค่าจ้างที่ปรับสูงขึ้น ในรายที่มีเงินทุนถือเป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร และเทคโนโลยีที่สามารถนำเข้าได้ในราคาที่ถูกลงโดยใช้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า เป็นต้น
กกร.ถกตัวเลข 8 ม.ค.
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เผยว่า ในวันที่ 8 มกราคมนี้ กกร.จะมีการประชุมนัดแรกของปี 2563 เพื่อทบทวนคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) และตัวเลขการส่งออกของปี 2562 ใหม่ จากเดิม กกร.คาดส่งออกปี 2562 จะติดลบที่ 2% และจีดีพีจะขยายตัวที่ 2.7-3% รวมถึงการประเมินเพื่อคาดการณ์จีดีพีและการส่งออกในปี 2563
“เบื้องต้นส่วนตัวมองว่าจีดีพีไทยปี 2563 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าปี 2562 (สภาพัฒน์คาดขยายตัว 2.6%) มีปัจจัยบวกเช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลปี 2563 คาดจะผ่านสภา และเม็ดเงินจะลงสู่ระบบได้ในเดือนกุมภาพันธ์ การจับจ่ายใช้สอยน่าจะดีขึ้น ต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทยอยย้ายฐานมาไทย คาดปี 2563 จะเริ่มนำเงินเข้ามาลงทุนก่อสร้างโครงการ ค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านยังขยายตัว เป็นต้น”
จี้อุตฯท่องเที่ยวเร่งปรับตัว
นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า จากปัญหาการ ชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน, เบร็กซิท และเงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้การท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตในลักษณะชะลอตัว คาดทั้งปีจะขยายตัวไม่เกิน 5% โดยคาดจะมีต่างชาติมาเที่ยวไทยในระดับ 40 ล้านคนต้นๆ
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังคงเดินทางมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น แต่พฤติกรรมเปลี่ยน ส่วนใหญ่จะเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง (เอฟไอที) มากกว่าเดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์เหมือนในอดีต การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการท่องเที่ยวในปีนี้จะต้องเผชิญกับภาวการณ์ที่หนักกว่าเดิม
“ธุรกิจท่องเที่ยวต้องปรับตัวหันมาปรับวิธีการขายให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด สร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว สร้างมาตรฐานด้านการบริการ ไม่หลอกลวงนักท่องเที่ยว และใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยในการดำเนินธุรกิจ เพราะถ้าไม่ปรับตัวก็คงจะอยู่ได้ลำบากขึ้น”
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมุลจาก