ห้องเม่าปีกเหล็ก

เช็ค 3 หุ้นมาร์เก็ตแคปสูงสุด

โดย Durant
เผยแพร่ :
72 views

เช็ค 3 หุ้นมาร์เก็ตแคปสูงสุด 3 เดือนแรกปี 63 กำไรร่วงหนัก !!

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 ปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นมีมากมายเหลือเกิน ซึ่งหลักๆ จะมาจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่เกิดขึ้นในทั่วโลก ทำให้ทั้งภาคผู้ประกอบการ และผู้บริโภคต่างได้รับผลกระทบตามกันไปด้วย ซึ่งส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวลง


จากการระบาดของ COVID-19 นั้น ในแต่ละอุตสาหกรรมก็ได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะมาก หรือน้อย ทางตรง หรือทางอ้อม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นในปี 2563 วันเวลาได้ผ่านไปแล้ว 3 เดือน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง วันนี้ Wealthy Thai ได้รวบรวมคาดการณ์งบช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 ของ  3 หุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ณ สิ้นวันที่ 9 เม.ย.2563 ประกอบด้วย  PTT, AOT และ CPALL


PTT ถือเป็นหุ้นที่มี มาร์เก็ตแคป สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 9 เม.ย.2563 มีมูลค่าประมาณ 1,021,127.12 ล้านบาท ปัจจุบันปัญหา COVID-19 ที่เป็นปัจจัยกดดันความต้องการใช้น้ำมัน และกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งสงครามน้ำมันที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

 

 

ลูกถ่วงแม่ ฉุดกำไร PTT ลดฮวบ

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้มุมมองกับ Wealthy Thai ว่า แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 ของ PTT จะปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4/2562 ที่มีกำไรสุทธิ 17,446 ล้านบาท และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 29,312 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทย่อย PTT ทั้งในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีฯ เช่น PTTGC และ TOP มีโอกาสขาดทุน อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินผลประกอบการของบริษัทย่อย PTT ทั้งหมด ก่อนจะรวบรวมข้อมูล จึงจะสามารถบอกตัวเลขการประเมินกำไรสุทธิของ PTT ได้ภายหลัง


ทั้งนี้ PTT ได้รับผลกระทบจากกำไรของบริษัทลูกที่ลดลง รวมทั้งราคาขายของธุรกิจก๊าซที่ลดลงสอดคล้องราคาน้ำมันเตากำมะถันสูง (HSFO) และราคาปิโตรเคมี (HDPE, PP) ส่งผลให้ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2563 จะมีโอกาสปรับลดเหลือเหลือระดับประมาณ 66,000 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 92,950.60 ล้านบาท


แนะนำ “เก็งกำไร” ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2563 ลงเป็น 33.00 บาท สอดคล้องกับราคาเหมาะสมของบริษัทลูกที่ลดลง แม้ระยะสั้นหุ้นยังได้รับผลกระทบจากการเป็นหุ้น Oil play แต่ระยะยาวยังแข็งแกร่งจากความเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานของประเทศ, กระจายธุรกิจหลากหลาย, กลยุทธ์ขยายการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน-โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ, โครงสร้างเงินทุนมั่นคง

 

 

AOT กำไรทรุด 58%

AOT จัดอยู่ในหุ้นที่มี มาร์เก็ตแคป สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันที่ 9 เม.ย.2563 มีมูลค่าประมาณ 810,713.48 ล้านบาท และยังถือเป็นหนึ่งในหุ้นอันดับต้นๆ ที่รับรับผลกระทบจาก COVID-19 จากการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวไปทั่วโลก


นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ขณะนี้ประเมิน กำไรสุทธิ AOT งวดไตรมาส 2/2563 (ม.ค.-มี.ค.63) ที่ระดับ 3,200 ล้านบาท ลดลง 58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 56% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งผลให้ 1.รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue) คาดว่าจะลดลง 28%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 23% จากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากจำนวนผู้โดยสาร ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 27%จากไตรมาสก่อน


2.รายได้ประเภท Non-Aero จะลดลง 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 39% จากไตรมาสก่อน โดยรายได้จากส่วนแบ่งผลประโยชน์จะลดลงมาก ตามจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง และมีการยกเว้นการเก็บรายได้แบบ minimum guarantee ชั่วคราว จะเก็บรายได้เป็น revenue sharing แทน ตั้งแต่ 1 ก.พ. ขณะที่ค่าใช้จ่ายโดยรวมยังปรับตัวลดลงได้ไม่มากนัก สำหรับงวดครั้งปีแรกปี 2563 (ต.ค.19-มี.ค.2563) ประเมินว่าจะมีกำไรสุทธิ 1.06 หมื่นล้านบาท ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3/2563จะรายงานผลขาดทุน และคาดว่าจะกลับมาทำกำไรได้ในไตรมาส 4/2563 จากสถานการณ์ COVID-19 ที่จะดีขึ้น รวมถึงประเมินว่า AOT จะมีการลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยปรับลดกำไรสุทธิปี 2563  ลงจากเดิมราว 26% เป็น 9,000 ล้านบาท ลดลง 64% จากปีก่อน และมีการปรับลดจำนวนผู้โดยสารปี2563 เป็น ลดลง 43% จากปีก่อน จากเดิม ลดลง 32% จากปีก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้สายการบินส่วนใหญ่หยุดทำการบินชั่วคราว และยังมีความไม่แน่นอนว่าจะกลับมาทำการบินได้เมื่อไหร่

 

 

CPALL กำไรลดลงเล็กน้อย

CPALL จัดอยู่ในหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปอันดัน 3 ณ วันที่ 9 เม.ย.2563 มีมูลค่าประมาณ 568,181.16 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ขณะนี้ประเมิน กำไรสุทธิของ CPALL ในไตรมาส 1/2563 จะอยู่ที่ 5,700 ล้านบาท ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก SSSG อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจ และแคมเปญงดแจกถุงพลาสติก โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/2563 จะคิดเป็น 24% ของประมาณการส่วนกำไรปีนี้ทั้งปี 2563 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 23,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่อยู่ระดับ 22,343.08 ล้านบาท


ดังนั้น จากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนบวกกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19  ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงแนะนำให้นักลงทุนรอดูสถานการณ์ไปก่อน โดยมองว่า downside ของกำไรทำให้ราคาหุ้นดูค่อนข้างแพง คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2563 ที่ 83.00 บาท

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant