เรียนรู้หลักคิด ‘ทศ จิราธิวัฒน์’ ผ่าน 3 วิกฤติใหญ่ นำทัพ ‘ธุรกิจครอบครัว’ กลุ่มเซ็นทรัล
“กลุ่มเซ็นทรัล” เป็นอาณาจักรค้าปลีกอันดับ 1 ของเมืองไทย ขับเคลื่อนการเติบโตกว่า 7 ทศวรรษ สร้างความมั่งคั่งระดับ “แสนล้านบาท” โดยตระกูล “จิราธิวัฒน์
อาณาจักรแสนล้านแห่งนี้ กุมบังเหียนโดย ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ที่ปัจจุบันเปรียบเสมือนมังกรเร้นกาย ทว่า ล่าสุด หอการค้าไทย ได้ปล่อยบทสัมภาษณ์หัวข้อ..ถอดบัญญัติธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ ไม่มีวิกฤตใดที่ฝ่าไปไม่ได้.. ซึ่งเต็มไปด้วยแนวทางการเคลื่อนธุรกิจครอบครัว เรื่องราวการฝ่าวิกฤติ บทบาทของ “ผู้นำ” ตลอดจนมุมมองถึง “คนรุ่นใหม่” ที่น่าสนใจ สอดคล้องกับยุคสมัยไม่น้อย

3 วิกฤติใหญ่ “ทศ จิราธิวัฒน์”
บทสนาเปิดเรื่องด้วยการเผชิญวิกฤติแรกของแม่ทัพใหญ่ “ทศ” ซึ่งดราม่า เป็นวิกฤติทางอารมณ์ยกให้เหตุการณ์ไฟไหม้ห้างเซ็นทรัลชิดลม ที่เป็นทั้งธุรกิจหลัก “ห้างเรือธง” เปรียบเสมือน “บ้าน” เพราะเกิดและเติบโตที่นั่น เมื่อไฟไหม้ตึกเสียหายหมด จึงเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้า เสียใจ และเป็นห่วง
“วันนั้นเป็นวันเกิดของตัวเองด้วยนะ”
กระนั้นวิกฤติได้ข้อคิดจากพ่อตา 1 ข้อ ที่ไม่ได้สูญเสียธุรกิจไป แม้ปิดสาขาชั่วคราว ลูกค้าไม่ได้หายไป เพราะยังไปซื้อสินค้าชอปปงสาขาอื่นได้ และเป็น “โอกาส” ที่ทำร้านใหม่ทั้งหมด ซึ่งสามารถ “ทำสิ่งที่ดีกว่าเก่าได้ ไม่ใช่เสียไปทีเดียว”
ต้มยำกุ้ง คือวิกฤติที่ 2 หนัก! เพราะเป็นวิกฤติทั้งประเทศ เวลานั้นธุรกิจส่วนใหญ่ “กู้เงินต่างประเทศสกุลดอลลาร์” เมื่อรัฐบาลลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้การกู้เงินจาก 25 บาท แบกภาระต้นทุนเป็นกว่า 50 บาทต่อดอลลาร์ทันที
“หมายถึงการมีหนี้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในทันที” ทศเล่า และขยายความสิ่งที่ตามมาคือ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินอยู่ในภาวะไม่มั่นคง ต้องการเงินกู้คืน ท่ามกลางทุกคนเจอปัญหา “สภาพคล่อง”(Liquidity) หากต้องคืนเงินแบงก์เร็วๆ ต้องเจอปัญหาอย่างแน่นอน
นั่นจึงเป็นวิกฤติใหญ่ทำให้เซ็นทรัลต้อง “เทขายสินทรัพย์”(Asset) ออกไป ค่อนข้างมาก ต้องพิจารณาจะขายสินทรัพย์ไหนเพื่อ “รักษาธุรกิจหลัก”(Core Business) ธุรกิจที่สำคัญไว้ ตัดทิ้ง “ธุรกิจใหม่” ซึ่งขณะนั้นคือ “บิ๊กซี” ที่มีราว 20 สาขา และถือหุ้น “คาร์ฟู” 40%
“เราต้องขายหมดเลย..ถ้าจำไม่ผิดได้เงิน 800 ล้านบาท ตอนหลังคาร์ฟูขายกิจการไปหมื่นกว่าล้านบาท จากร้อยเป็นหมื่นล้าน วิกฤตินี้ทำให้เราเรียนรู้ อีกแง่นึงเราเสียหายค่อนข้างมาก”
ขณะที่วิกฤติที่ 3 โควิด-19 ระบาด ถาโถมธุรกิจทั้งโลกสะเทือน
โควิด-19 พิสูจน์ความแกร่งกลุ่มเซ็นทรัล
ทศ เล่าว่า วิกฤติโควิด-19 ระบาดเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจ มองย้อนวิกฤติไฟไหม้เซ็นทรัลชิดลม ให้บทเรียนการ “ขยายฐานธุรกิจกว้างขึ้น” มีหลาย “เสาหลัก” ลดการพึ่งพาเสาเดียว
“หน้าที่หลักผมคือสร้างแพลตฟอร์มใหม่ เพื่อสร้างเสาหลักใหม่ โควิด-19 ระบาด เรามีธุรกิจหลากหลายพอสมควร ทั้งโรงแรม ห้างค้าปลีก ฯ เราขยายตลาดไปเวียดนาม ยุโรป แต่โควิด hit หมด hit เรียบ ของเราเกือบไม่รอด ไม่ว่าเราจะ diversify ธุรกิจยังไงก็แล้วแต่ กระจายประเทศ แต่โควิดซัดเรียบ” ทศ เล่าและว่าเป็นความหนักหนาในรอบ 75 ปี เพราะไม่เคยปิดห้างร้าน ศูนย์การค้ามาก่อน
ทว่า ปิดร้านให้โอกาสได้ใช้ “เทคโนโลยีใหม่ๆ” ทั้งหลายที่เกิดในโลกมา “เปลี่ยนวิธีขายสินค้า” โดยที่ลูกค้าไม่ต้องมายังหน้าร้าน(ออฟไลน์)
“ทั้งผู้บริหาร พนักงานหน้าร้าน เราขายของโดยวิธีอื่นทำให้รักษายอดขายได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ แปลกที่ห้างปิดแต่ยอดขายไม่เหลือศูนย์โดยที่ลูกค้าไม่ต้องมาหน้าร้าน”
เมื่อเกิดวิกฤติ การตื่นตระหนก ตกใจและ “กลัว” เป็นเรื่องปกติ แต่ “ทศ” ย้ำว่าอย่าตกใจ กลัว อย่าเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ แต่ควร “ตั้งตัวให้ดี” ตั้งใจสู้กับปัญหาให้ได้ อย่ากังวลกับปัญหา
“มีผู้ใหญ่สอนว่าปัญหาแก้ได้ทุกอัน ระหว่างทางเราจะมองเห็นโอกาส”
ใน 3 วิกฤติ “ทศ” ยกให้กรณีชิดลมเป็นเรื่องของความรู้สึกมากหน่อย
“ผมถึงกับร้องไห้เลย”
ส่วนต้มยำกุ้งเครียดกับภาวะหนี้ที่เกิดขึ้น ต้องหาทางลดหนี้ แต่แก้ปัญหาไปก็จบ ส่วนโควิด-19 กลับ “ผ่อนคลายมาก” ไม่มีความรู้สึกเศร้า กลัว ไม่รู้สึกอะไร
“โควิดนี้ผม Relax มากเลย แค่รู้สึกว่าต้องเคลื่อนธุรกิจเดินหน้าให้ดีวันต่อวัน เหล่านี้เป็นเรื่องของประสบการณ์และวุฒิภาวะหรือ maturity” ทศ เล่าอย่างอารมณ์ดี หัวเราะ ก่อนเข้าโหมดจริงจัง
“สุดท้ายคุณต้องรักษาบริษัทให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย บริษัทเราในช่วงโควิดเป็นช่วงที่แข็งแรงมาก วันนี้โลกเรายิ่งน่ากลัวขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี เอไอ สงคราม เชื้อโรค..โอ้โห! สารพัดเรื่อง ถ้าเป็นตัวเองก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายกับสุขภาพบริษัท เหมือนกันเป๊ะ หากดูแลให้แข็งแรงอย่างน้อย โอกาสคุณก็ดีที่สุด”
ห้วงมรสุมเสียดายสุด “บิ๊กซี”
ผ่านหลากวิกฤติ หากกล่าวถึงธุรกิจที่เสียดาย “ทศ” ยกให้ห้างค้าปลีกรูปแบบโมเดิร์นเทรด “บิ๊กซี” ที่บริษัทต้องหาพันธมิตร “ต่างชาติ” ตะวันตกมาอุ้มชู จน “จิราธิวัฒน์” ด้วยการเพิ่มทุนหลายพันล้านบาทจนจากบทบาท “เจ้าของ” ต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นหรือ dilute ลงเหลือกว่า 20% ทำให้ “สูญเสียธุรกิจหลัก” คือกลุ่มอาหาร(Food) ที่ตนเองเป็นคนริเริ่ม
“เสียดายที่สุดคือบิ๊กซี..ผมเป็นคนเริ่มบิ๊กซี แล้วบิ๊กซีเป็นห้างโมเดิร์นเทรดแรกในประเทศไทย ก่อนโลตัส คาร์ฟู เราเป็นคนทำ เป็นห้างแรกที่ประสบความสำเร็จแม้กระทั่งผ่านวิกฤติ ยอดขายไม่เคยตก และเติบโตตลอด ไม่เคยต้องการเงินทุน ถ้าเราทำต่อก็จะกลายเป็นธุรกิจหลักของเรา”
ตอนขายกิจการให้ฝรั่งเข้ามาถือหุ้นเพิ่มทุน “ทศ” บอกได้เงินกว่า 6,000 ล้านบาท ภายหลังต่างชาติถอนทัพกลับขายกิจการทิ้งได้เงินระดับ “แสนล้านบาท” ภายใน 20 กว่าปี
“สำหรับหลายๆคน จริงๆแล้ววิกฤติก็กลายเป็นโอกาสมหาศาล”
ความหมายคือ หากคนที่สายป่านไม่ยาว ง่ายๆคือ “เจ๊ง” เมื่อปิดฉากวิกฤติ “คู่แข่ง” จะน่อยลง ธุรกิจยามรุ่งโรจน์องค์กรจะมี “ไขมัน”(Fat)สูง เพราะใช้จ่ายเต็มที่ เมื่อธุรกิจไม่ดีจึงหาทาง “ลดค่าใช้จ่าย” ทำให้ very LEAN เหมือนนักกีฬาที่ไม่มีไขมัน เมื่อยอดขายดี จึงทำให้บริษัทมี “กำไร” มี “เงินสด”(cash)มากกว่าในอดีต
“เป็นเรื่องของวินัย การดูแล บริหารจัดการค่าใช้จ่าย”
DNA “จิราธิวัฒน์” ชอบการ “สร้าง-พัฒนา”
วิกฤติยังให้บทเรียนด้าน “การลงทุน” ของกลุ่มเซ็นทรัลที่ต้องไม่สะเปะสะปะ ฟังดูง่าย แต่สำคัญ เพราะสำหรับนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ(entrepreneur) เห็นสิ่งต่างๆล้วนอยากทำ “เห็นโอกาสเต็มไปหมด” ทว่า บางครั้งต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
“คุณต้อง learn to say NO ตอนหลังวิกฤติทำให้ผู้บริหารและบอร์ดเข้าใจว่า ถ้ามันไม่ใช่ธุรกิจหลักของเรา..คือไม่เอา ทำให้บริษัทเรา very focus ธุรกิจเรา และดีมาตลอด”
การลงทุนยังชี้วัดความสำเร็จหรือ “ขาดทุน-ล้มละลาย” ด้วย ทำให้การลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัลก่อเกิดและการพิจารณาต้องผ่าน “Investment committee” ใช้กับทุกการลงทุน แม้มูลค่าหลัก “สิบล้านบาท” หรือร้อยล้านบาท ว่าจะลงทุนอะไร ลงทุนแล้วคุ้มทุนหรือไม่ การคืนทุนเท่าไหร่ มีความเสี่ยงขนาดไหน ฯ
“นอกจากโฟกัสแล้ว จะไม่ลงทุนสะเปะสะปะแม้เป็น core business บริษัทมีการควบคุม มีรีวิวเป็นขั้นตอน พอมี investment committee ทำให้การลงทุนของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วส่วนใหญ่ไม่พลาดด้วย น้อยมากที่จะพลาด”
ดีเอ็นเอ(DNA)ของกลุ่มเซ็นทรัลตั้งแต่คุณปู่(เตียง จิราธิวัฒน์) จนถึงคุณพ่อ(สัมฤทธิ์ จิราธวัฒน์) และอา(วันชัย จิราธิวัฒน์) จนถึงรุ่นปัจจุบันคือ “สุขในการสร้างและพัฒนา”
“ตระกูลเราตลกในแง่ที่ว่า..เรา enjoy ในการสร้างและพัฒนา ต้องการให้บริษัทเติบโต มีการลงทุน มีการจ้างงาน มีลูกค้ามากขึ้น พัฒนาประเทศ จะเห็นว่าเราไปลงทุนที่ไหน แถวนั้นจะเจริญขึ้น กิจการเรากว่า 75 ปี ผมว่าเราปันผลไม่เกิน 20 ปีนะ ก็หมายความว่ากว่า 40 ปี ไม่เคยปันผล เงินก็อยู่ในบริษัทและลงทุนต่อ”
แตกต่างจากหลายบริษัทที่ไม่เป็นเช่นนี้ ผู้ถือหุ้น นักลงทุนเทเงินไปแล้ว ย่อมต้องการเงินทุน การปันผล(dividend) กลับคืน ไม่ต้องการให้ขยายธุรกิจมากนัก เพราะไม่ต้องการความเสี่ยง หรือสร้างหนี้ ทำให้คนที่ลงทุนเพื่อปันผล “โตช้า” หรืออาจไม่โต ซึ่งขึ้นกับนโยบายแต่ละแห่ง
สูตรคุมหนี้ต้องไม่เกิน 3 เท่า
อีกบทเรียนที่ “ทศ” แบ่งปัน คือการบริหารค่าใช้จ่ายให้ดี การตัดลดต้นทุนเป็นธุรกิจจะไม่เจ๊ง ตัวอย่างสร้างห้างค้าปลีกพื้นที่ 2 หมื่นตารางเมตร(ตร.ม.) ต้องมีห้องเก็บสต๊อกสินค้า 20% หากลงทุน 500 ล้านบาทต่อสาขา ต้องเสียเงิน 100 ล้านบาท เมื่อเกิดวิกฤติต้องบริหาร “กระแสเงินสด”(cashflow) ต้องลดสต๊อก ลดไปลดมาห้องเก็บสินค้าว่าง ยอดขายไม่ตก ไม่ต้องการห้องเก็บสินค้าอีกต่อไป สะท้อนวิกฤติทำให้การบริหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วินัยการลงทุนสำคัญและเป็นความเสี่ยงหากก่อหนี้สูงเกินไป ธุรกิจอาจ..เจ๊ง! เมื่อบริษัทปันผลน้อย ลงทุนมาก จึงต้องมีสูตรคุมหนี้คือ “ไม่เกิน 3 เท่า”
“ถ้าเราหาได้ 100 หนี้ไม่ควรเกิน 300 การลงทุนของเราจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักซื้อที่ดิน การสร้างห้างค้าปลีก โรงแรม ถ้าไปลงทุนสร้างโรงพยาบาล โรงงาน เราไม่เป็น”
อย่างไรก็ตาม การลงทุนสร้างและพัฒนา กลุ่มเซ็นทรัลขยายธุรกิจจากกรุงเทพฯ กระจายสู่ต่างจังหวัดด้วย พร้อมใช้กลยุทธ์ Localized ทั้งการนำสินค้าจากท้องถิ่นมาจำหน่าย หากไม่มีต้องส่งเสริมการเพาะปลูกในพื้นที่ ส่วนร้านค้า ผู้เช่า หากไม่เก่งค้าขายภูธร ติดขัดเงินทุน เรื่องคน การดูแลพร้อมจะเป็น “พี่เลี้ยง”
“เราจะช่วยคนในพื้นที่ให้มากสุด ดีที่สุด” หนึ่งในตัวอย่างคือ “Good Goods” ที่ได้นำสินค้าพื้นถิ่นมาดีไซน์ให้ทันสมัย เพื่อจำหน่ายในห้างค้าปลีกกลุ่มเซ็นทรัล
กิจการครอบครัวบริหารแบบมืออาชีพ
กว่า 7 ทศวรรษ “ธุรกิจครอบครัว” ใหญ่มูลค่าหลายแสนล้านบาท “ทายาทตระกูลจิราธิวัฒน์” ยังนำทัพจากรุ่นสู่รุ่น
“ทศ” บอกว่าในฐานะซีอีโอ ต้องทำงานหนักเป็นทุนเดิม และเมื่อต้องเดินหน้าเคลื่อนกิจการครอบครัวเป็นเรื่อง “ยากอยู่แล้ว” เพราะมีเจนเนอเรชันทั้งอา พี่น้อง หลาน
“เป็นซีอีโอ เมื่อบอกไปทางนี้ แค่เถียงจะทำทางนั้นก็เหนื่อยแล้ว แต่ถ้าครอบครัวจะไปทางนี้ แล้วไปยังไงต้องเถียงกันอีกเยอะ ทำให้ถูกใจ..ยากกว่าอีกก แต่ก็เป็นข้อดี ข้อไม่ดีคือจะโทร.มา จะว่าจะด่าเมื่อไหร่ก็ได้ จะด่าคุณในห้องประชุม ด่าคุณเวลาทานข้าว หรือวันอาทิตย์ก็ได้..ทั้งวันทั้งคืน และมีร้อยคนก็ร้อยความเห็น” ทศเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ พร้อมขยายความ หากเลือกฟังอีกคน อีกคนอาจไม่พอใจ
“ค่อนข้างหนักพอสมควร”
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจครอบครัวมีทั่วโลก หลายกิจการยืนหยัดไปถึงร้อยพันปี ส่งต่อจากรุ่นแรกถึงทายาทรุ่น 7-8-9-10 หรือในประเทศญี่ปุ่นที่มีกิจการ “พันปี” อยู่ถึง 13 ครอบครัว สอดคล้องกับผู้รังสรรค์ธรรมนุญครอบครัว “วิโรจน์ ภู่ตระกูล” ที่บอกว่าธุรกิจครอบครัวเกิดได้ต้องมี “ธุรกิจ” ทำให้การเลือก “คนเก่งสุด” มาทำหน้าที่แม่ทัพสำคัญ
ทศ ยกตัวอย่าง ธุรกิจครอบครัว “จิราธิวัฒน์” อย่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” ที่เดิมมี “สุทธิธรรม จิราธิวัฒน์” เป็นซีอีโอ และสมาชิกครอบครัว ต่อด้วย “กอบชัย จิราธิวัฒน์” ซึ่งหลายคนคาดการณ์จะเลือก “คนในครอบครัว” นั่งกุมบังเหียน แต่กลับเป็น “คนนอก” อย่าง "ปรีชา เอกคุณากูล” มือดีอสังหาริมทรัพย์รับไม้ต่อเป็น “แม่ทัพ”
“หลายๆคนนึกว่าผมจะเลือกคุณกอบชัย เลือกคนในครอบครัว ผมเลือกคุณปรีชาเป็นซีอีโอ คนนอกก็ตกใจ เซ็นทรัลไม่ใช้คนในครอบครัวแล้ว..ไม่จำเป็น ผมเลือกคนที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดเป็นซีอีโอ หรือซีอาร์ซี(เซ็นทรัล รีเทล)ผมเป็นซีอีโอมาตลอด แต่สุดท้ายก็เป็นคุณญนน์ โภคทรัพย์”
ถอดความล้มเหลว..ใหญ่ในไทย “เล็ก” ในต่างแดน
กลุ่มเซ็นทรัลรายได้หลายแสนล้านบาท เป็นองค์กรเก่าแก่และยืนหนึ่งด้านค้าปลีก ทว่า ในต่างประเทศกลับมีบทเรียนความล้มเหลว
“ทศ” ยกกรณีศึกษาขยายค้าปลีกไปยังประเทศอินโดนีเซีย แต่ “ไม่เวิร์ค” เพราะไม่สามารถขยายสาขาสร้างการเติบโตได้ เนื่องจากยังมีเพียง 1 สาขาให้บริการลูกค้า
“อินโดนีเซียเรามีกำไร ไม่ได้ขาดทุน แต่ที่ failed คือไม่สามารถขยายได้ จาก 2 ปัจจัย อินโดฯมีบริษัทยักษ์ใหญ่เยอะมาก เราใหญ่ในไทย แต่ไปที่นั่นเา nothing และ 2 อุตสาหกรรมค้าปลีกที่อินโดฯ มีความ concentrate มากทำให้ผู้เล่นบางราย powerful ทำให้ทำธุรกิจยาก”
ส่วน “จีน” อีกตลาดปราบเซียน ทั่วโลกกระโจนชิงขุมทรัพย์ ทว่า กลุ่มเซ็นทรัลไปลงทุน แต่เผชิญ “ขาดทุนค่อนข้างมาก” แม้จะวางแผนธุรกิจค่อนข้างดี
“สุดท้ายก็เจ๊งหมด จีนเป็นตลาดที่ทุกคน failed หมด ไม่ใช่เรา failed คนเดียว ทั้งต่างชาติ ทุนท้องถิ่น ไม่มีใครชนะ เพราะจีนใหญ่เกินไป too much supply ทุกคนลงมาเล่นกันหมด มีศูนย์การเต็มไปหมด เพราะประเทศโตเร็ว ใหญ่มาก แต่ผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์โตไม่ทัน..ประเทศใหญ่จริงๆ”
กลุ่มเซ็นทรัลจึงขยายอาณาจักรธุรกิจบุก “เวียดนาม” มีบิ๊กซี โก ฯ เจาะ 43 จังหวัด ที่เศรษฐกิจเติบโต 7-8% ส่วนไทยโตเพียง 2% แม้เป็นฐานทัพสำคัญ ประเทศพัฒนา แต่มองหลังโควิด-19 ระบาด “ทศ” ยังยกประเทศไทยเจริญก้าวหน้ากว่าเพื่อนบ้านในทุกด้าน
“ยุโรป” เป็นอีกหมุดหมายที่กลุ่มเซ็นทรัลแผ่ขยายห้างค้าปลีกด้วยมรรควิธี ทางลัด “ซื้อและควบรวมกิจการ” เช่น ซื้อห้างหรูในอิตาลี “รีนาเซนเต” กิจการในอิตาลีขยายไป 8 เมือง ที่รองรับตลาดสินค้าลักชัวรีเติบโตและสำคัญอย่างต่อเนื่อง มี “เซลฟริดเจส” ในลอนดอน เป็นต้น
“รีเทลกลุ่มเซ็นทรัล การบริหารจัดการ การลงทุน การดูแลผลประกอบการ ดูแลพนักงาน เราไม่แพ้ใครในโลก รีเทลเราเป็นที่หนึ่งในโลกที่ดีที่สุด ทุกชาติทั้งยุโรป ญี่ปุ่น จีนมาดูห้างเรา ในแง่ประสบการณ์ การพัฒนามิกซ์ยูสขนาดใหญ่ การทำกิจกรรมต่างๆ อย่างเซ็นทรัลเวิลด์ ที่มีทุกอย่างในนั้นทั้งออกแบบ ก่อสร้าง ให้เช่าพื้นที่ รันกิจการ โอเปอเรทเอง เราทำหมดทุกอย่าง ในโลกน้อยที่มีบริษัททำแบบนี้”
หากมองอนาคตค้าปลีก “ทศ” ย้ำว่า “ออนไลน์มาแน่” แต่รูปแบบยังต้องติดตาม การขายสินค้าจะมี “ช่องทาง” อีกมาก คาดว่าไม่มีช่องทางใด “ครองตลาดทั้งหมด”(dominate) ที่สำคัญ “ห้างค้าปลีก” จะไม่ใช่แค่พื้นที่ขายสินค้า แต่เป็นสถานที่ “สร้างประสบการณ์” ให้ผู้คนรู้สึกมาแล้วมีความสุข สุก แฮปปี้ แล้ว “จับจ่ายซื้อสินค้า"
ธรรมนูญครอบครัว
ปัจจุบันทุกเรื่องของทายาทตระกูลจิราธิวัฒน์ถูกหยิบยกหารือกันในสภาครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน งานศพ ฯ ใช้ผู้ใหญ่ “ผู้อาวุโส” จัดการดูแล โดยยก “ธุรกิจ” แยกวงออกไป ซึ่งก่อนมีธรรมนูญครอบครัว ระบบกงสีทุกอย่างปะปนกัน ยิ่งไม่มีการปันผล แต่สินค้าทุกอย่างในห้างค้าปลีก กิจการครอบครัว “หยิบใช้ฟรีได้หมด” ทั้งกินฟรี อยู่ฟรี บ้านรถ ฯ “กงสี” ทำหน้าที่จ่ายให้ทั้งหมด
ขณะที่การเลือก “ซีอีโอ” มาเคลื่อนทัพกิจการครอบครัว จะให้คณะกรรมการ(บอร์ด) ใช้สิทธิ์ใช้เสียงลงคะแนนเพื่อไฟเขียว
“ตอนหลังเราปรับองค์กรให้กลายเป็นมืออาชีพมากขึ้น เป็นหลักการบริหารธุรกิจครอบครว แบ่งวงธุรกิจ ผู้ถือหุ้น ออกาไนซ์ธุรกิจเหมือนทั่วโลก แม้กระทั่งการเลือกซีอีโอต่างๆ”
30 ปีนโยบายภาษีนำเข้าถูกต้อง แต่วันนี้ต้องปลดล็อกให้แข่งขันได้
"ทศ" เป็นผู้นำองค์กรใหญ่ เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์เคลื่อนเศรษฐกิจ(จีดีพี)ประเทศให้เติบโต จึงมีโอกาสได้หารือกับ "ผู้นำประเทศ" ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แต่แรงหนุน "ภาคบริการ" ไม่มี ดีที่เอกชนไทยเก่ง จึงสร้างการเติบโตได้ถึงเพียงนี้
"เอกชนไทย คนไทยเราเก่งมากภาคบริการเราเจริญได้ขนาดนี้ทั้งๆที่รัฐบาลเกือบไม่ดูแลเลย"
นอกจากนี้ ธุรกิจแวดวงค้าปลีกหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเรียกร้องให้แก้ไขนโยบายด้านภาษีนำเข้า(สินค้าไลฟ์สไตล์) หลังนโยบายเดิมเดินมา 30 ปี ซึ่งถูกต้อง
ทว่า วันนี้ควรปรับเปลี่ยน ไม่ต้องลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% แต่ขอให้เอื้อต่อการชอปปิงทั้งคนไทย ซึ่งปัจจุบันบินไปต่างแดนเพื่อซื้อสินค้านอกประเทศมหาศาล รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลกให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันนักท่องเที่ยวมาไทยใช้จ่ายต่อหัวต่ำสุดเทียบประเทศเพื่อนบ้าน
“ภาษีนำเข้าสินค้าเราสูงสุดในอาเซียนทั้งมาเลเซีย อินโดฯ กัมพูชา เมียนมา กันไว้เพื่ออะไร ทั้งที่เงินไหลออก คนไทยไปช้อปต่างประเทศมโหฬาร ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาไทยใช้จ่ายต่อหัวน้อย ทั้งที่จำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยมากสุด”
แนะคนรุ่นใหม่มีทัศนคติ “ทำได้” ใส่ใจ “เนื้องาน” มากกว่า “เงิน”
ถามถึงคนรุ่นเก่า-ใหม่ “ทศ” ให้มุมมองว่า ข้อดีของคนรุ่นใหม่ยุคนี้กล้าใช้เงิน เป็นข้อดีต่อภาคธุรกิจ แต่ตัวเลือก ช่องทางขายสินค้าก็มากตาม อีกด้าน คนรุ่นเก่า ก็ใช้จ่ายไม่แพ้กัน เพราะหลังโควิด-19 ระบาด ทำให้คนตระหนักชีวิตจะยืนยาวเพียงใด
“ตอนนี้คนทั่วไปชอปปิง กิน เทียวหนักกว่าเดิม”
ด้วยเป็นแม่ทัพธุรกิจ ผ่านร้อนหนาวมามาก หากฝากถึงคนรุ่นใหม่กับการทำงาน “ทศ” อยากให้ใส่ใจเนื้องานตัวเองให้มากสุด ใส่ใจผลงานจะทำอย่างไรให้องค์กรดีขึ้น และมีทัศนคติทำได้ หรือ can do attitude ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ จุดนั้นนี้มีปัญหา เพื่อจะสร้างความยืนยาวในโลกการทำงาน แล้วประโยชน์จะตอบแทนกลับมาภายหลัง
ส่วนความรู้ความสามารถ แนะนำทักษะด้าน “ภาษา” ทั้งภาษาอังกฤษและจีน หากใช้ภาษาที่ 2-3 ได้คล่องแคล่ว จะเข้าถึงรู้ข้อมูลความรู้จากทั่วโลก และอนาคตจะไปได้ไกล
“ช่วง 20-30 ปีการทำงานอย่า worry เรื่องเงิน ใส่ใจเนื้องานให้มากสุด ทำงาน เข้ากับคนให้ได้ ทำงานเป็นทีม เป็นผู้ร่วมงานที่ดี เพื่อให้คนชอบทำงานด้วย จะแฮปปี้และสำเร็จตอนจบ แต่ถ้าเรามัวคิดแต่เอาประโยชน์วันนี้ มองระยะสั้นย้าย เปลี่ยนงานไปมา เอาแต่งานที่ชอบ เลือกตามใจตัวเอง สุดท้ายจะติดตอนอายุ 40 ปี แล้วจะไม่มีใครเอา เพราะความสำเร็จสุดท้ายจะติดที่ช่วง 40-60 ปี”
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1200473